หากเกิดปัญหาขึ้น เราจะประนีประนอมถนอมความรู้สึกคน รักได้อย่างไร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องหยุมหยิมไปจนถึงเรื่องการให้เกียรติกัน และความเสมอภาคเท่าเทียม เราจำเป็นที่จะต้องรู้วิธีที่จะจัดการ กับความขัดแย้งเหล่านี้ คุณจะตำหนิเขาอย่างไร โดยที่ไม่ใช้คำพูด ถากถางเขา คุณจะขอร้องเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการอย่างไรโดยไม่มีการ ข่มขู่ หรือทะเลาะกันด้วยวิธีไหนด้วยคำพูดและการกระทำแบบใดที่ จะไม่ทำให้คุณเสียใจภายหลัง
ติเตียนโดย ไม่ใช้คำพูดที่รุนแรง วิธีนี้เราควรฝึกฝนไว้ใช้กับทุกๆเรื่องใน ชีวิตประจำวัน ลองนึกดูสิว่าถ้าเจ้านายของคุณ ตำหนิคุณเรื่อง งานโดยใช้คำพูดที่คุณฟังแล้วไม่รู้สึกว่าตัวเองงี่เง่า ถ้าเป็นแบบนั้นคุณก็จะไม่รู้สึกเครียดเลย หรือการที่คุณ สามารถบอกคนรักได้ว่าคุณไม่พอใจที่เขาทิ้งกางเกงในเกะกะบนพื้น โดยไม่ใช้คำพูดถากถางเขา สิ่งที่ควร ทำคือคุณควรรู้จักยั้งคำพูดเอาไว้บ้าง ไม่ใช่ว่าระเบิดออกไปอย่างกราดเกรี้ยว แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าเรา แนะให้คุณเก็บกดความโกรธเอาไว้นะ คุณสามารถบอกคนรักเข้าใจความรู้สึกของคุณโดยนำการกระทำ และความรู้สึกมาผูกไว้ในประโยคคำพูด เช่น "เวลาคุณ(การกระทำของเขา) ฉันรู้สึก(ความรู้สึกของคุณ)" โดยคุณเพียงแต่เติมคำลงในวงเล็บ ซึ่งควรเป็นคำพูดที่ตรงและเห็นภาพได้ เช่น "เมื่อคุณทิ้งกางเกงในเกะ กะบนพื้น มันทำให้ฉันรู้สึกหงุดหงิด" พยายามหลีกเลี่ยงคำพูดใดๆ ที่จะไปพาดพิงถึงแรงจูงใจใดๆ ของ ผู้กระทำ เช่น "เมื่อคุณทิ้งกาเกางชั้นในเกะกะบนพื้น มันทำให้ฉันรู้สึกว่าฉันเป็นทาสของคุณที่ต้องคอย ตามเก็บ" พูดอะไรให้มันตรงประเด็นและเข้าใจได้ง่าย
หลีก เลี่ยงการพูดจาดูแคลน การพูดจาดูถูกกันไม่ได้เป็นผลดีอะไรขึ้น เลย รวมถึงแววตาที่แสดงความรังเกียจสะอิดสะเอียน หรือ คำพูดที่ออกแนวเยาะเย้ย สิ่งเหล่านี้เป็นสัญญาณร้ายส่อว่าชีวิตคู่มีปัญหาขนาดหนักที่คุณจำเป็นต้อง เปิดอก คุยกันแล้ว อย่าเพิกเฉยต่อสัญญาณเหล่านี้ หากคุณเริ่มรู้สึกว่าตัวเองพูดจาเชิงเยาะเย้ยคนรักเมื่อใด เมื่อนั้น คุณควรสำรวจทบทวนความรู้สึกของตนเองได้แล้ว คุณกำลังคิดว่าไม่ว่าเขาทำอะไรมันก็ผิดไปหมด แล้ว สิ่งที่คุณทำนั้น มันถูกทุกอย่างแล้วเหรอ คุณควรมองพฤติกรรมของคนรักในแง่มุมอื่นๆดูบ้าง
โทษที่การกระทำ ไม่ใช่ที่ตัวผู้กระทำ การกล่าวโทษว่าตัวเขาน่ะผิด ไม่ใช่การกระทำของเขาที่ผิด จะนำไปสู่ปัญหาได้ ซึ่งเราก็โทษกันแบบ นี้อยู่บ่อยๆ "คุณไม่เคยเห็นคุณค่าของฉันเลย" ไม่มีใครพอใจที่ถูกกล่าวหาอย่างนั้นหรอก และคนเราเมื่อ ถูกกล่าวหาก็จะต้องพูดจาปกป้องตัวเอง ดังนั้นเมื่อคุณรู้สึกโกรธและอยากจะระบายออกมา คุณควรจะสงบ สติอารมณ์และคิดมุ่งไปที่ตัวปัญหา ถ้าคุณอยากให้เขารู้ถึงความรู้สึกของคุณ ก็ควรใช้คำพูดที่บ่งถึงการ กระทำของเขาที่กระทบความรู้สึกของคุณ พูดเฉพาะการกระทำที่ทำให้คุณโกรธแทนที่จะพูดว่า "เวลา คุณโมโหนี่เหมือนวัวบ้าเลยนะ" ควรพูดว่า "เวลาคุณโมโหขึ้นมาฉันรู้สึกกลัวค่ะ"
พูด กันให้เข้าใจ ความมั่นคงทางอารมณ์นั้น เกี่ยวข้องกับการเข้าใจในความรู้สึกของตัวคุณเอง และสามารถแสดงมัน ออกมาได้อย่างตรงไปตรงมา ไม่ไปพาลโทษสิ่งอื่นใด และมีความสามารถที่จะหาวิธีแก้ไขปัญหานั้นๆได้ คู่รักที่รู้จักสงบสติอารมณ์และหลีกเลี่ยงการขัดแย้ง โดยรู้จักการประนีประนอมก็จะอยู่กันได้อย่างมีความสุข แต่การประนีประนอมอาจเป็นไปได้โดยไม่ราบรื่น หากอีกฝ่ายหนึ่งนิ่งเฉย ไม่ยอมให้ความร่วมมือด้วย โดยการไม่พูดการที่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเงียบเฉยไม่ยอมพูดจาปรับความเข้าใจกัน ก็จะทำให้ความสัมพันธ์จบ ลงได้
ขจัดความ คิดทางลบ ความคิดในเชิงลบอาจทำให้ชีวิตรักพังพินาศได้ หากแฟนของคุณเต้นรำใกล้ชิดติดร่างเพื่อนสนิท ของคุณเกินไปสักหน่อย มันไม่ได้หมายความว่าเขากำลังพยายามลวนลามเธอ และหมดรักคุณแล้ว พึงจำไว้ว่าการกระทำที่ไม่ดีเพียงครั้งเดียยว ไม่ได้ทำให้คนคนนั้นกลายเป็นคนเลวไปเลย ขจัดความคิดในนเชิง ลบออกไปจากหัวสมองของคุณเสียก่อนที่มันจะสายเกินไป
ไว้ใจในญาณสังหรณ์ ญาณสังหรณ์เกี่ยวกับการ เคลื่อนไหวในทางอารมณ์แห่งความสัมพันธ์นั้นอาจเกิดขึ้นได้ แต่ก็อาจจะ แปรปรวนกลายเป็นเรื่องประสาทๆ หวาดระแวงได้ง่ายเช่นกัน อย่างถ้าคุณกำลังถกเถียงกันอยู่ และคู่รัก ของคุณกล่าวหาว่าคุณเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ ก็จงหาแก่นของความจริงในสิ่งที่อาจดูเหมือนว่าเป็นความ หวาดระแวงจนเกินเหตุนั้น บางทีคุณอาจจะเพิ่งโมโหโกรธาในเรื่องขี้ประติ๋ว (ที่อาจจะไม่เกี่ยวกับหัวข้อที่ถกเถียงอยู่เลย) จนทำให้อารมณ์ของคุณมีความเคลื่อนไหวไปในทางลย คู่ของคุณเขาก็จะรู้สึกได้ถึงความ เฉยเมยในอารมณ์นั้นของคุณ ก็เลยทำให้เรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่
ควบ คุมความโกรธ ความโกรธเป็นสิ่งที่เราต้องระบายมันออกมา แต่การระเบิดความโกรธอย่างเดือดดาลนั้นไม่เป็นผลดี แต่อย่างใด ในทางตรงกันข้าม การสะกดกลั้นมันเอาไว้ก็เป็นโทษได้เช่นกัน จากการวิจัยพบว่ายิ่งเก็บความโกรธไว้มากเท่าไหร่ ก็จะนำไปสู่การระเบิดทางอารมณ์ที่รุนแรงมากเท่านั้น วิธีการจัดการกับความโกรธก็คือการสงบสติอารมณ์โดยเบนความสนใจไปที่สิ่งอื่น เช่น เลี่ยงออกไป เดินข้างนอกเสียและคิดถึงเรื่องอื่นๆแทน พอคุณเริ่มสงบลงก็กลับมาพูดกันใหม่ โดยใช้เหตุผล อย่าให้อารมณ์รุนแรงมาแทรก
ถ้าปรับความเข้าใจกันได้ก็จะใกล้ชิดกันมากขึ้น ถ้าคุณฝึกทักษะเหล่านี้ได้สำเร็จ บทเรียนที่คุณจะได้รับนอกจากคุณสามารถสร้างการสื่อสารที่เยี่ยม ยอดแล้ว คุณยังได้รับความใกล้ชิดสนิทสนมเป็นรางวัล เพราะเมื่อคุณสามารถบอกคนรักได้ถึงความรู้สึกของคุณ และรับฟังความรู้สึกของเขาได้เช่นกัน ความใกล้ชิดก็จะบังเกิดขึ้น และเมื่อนั้นคุณและคนรักก็จะรู้สึกถึงความมั่นคง ซึ่งทั้งหมดนี้แหละที่เรียกว่า รักแท้
จะต้องถอนใจ อีกสักเท่าไร
โลกแห่งความเป็นจริง ไม่เคยเป็นอย่างใจ
วันและคืนเปลี่ยนหมุน ให้เราวิ่งตามเรื่อยไป
โตแล้ว ทุกอย่างเปลี่ยนไป
การเป็นผู้ใหญ่ มันไม่ง่ายเลย
มันไม่คุ้นไม่เคย ยิ่งคิดยิ่งเหนื่อยใจ
ไม่มีเวลาเหลือ ไว้ฟังไว้คิดถึงใคร
โตแล้ว ต้องทำอย่างไร
เมื่อนาฬิกาในชีวิตหมุนเร็วกว่าใจ
จนตัวเราเองอาจหล่นหาย
เมื่อเด็กคนหนึ่งที่อยู่ในใจ เขาไปไหน
ทำไมวันนี้เขาหายไปจากเรา
Monday, June 28, 2010
Friday, June 11, 2010
เมื่อผู้ชายจะกลายเป็นพ่อ (momypedia)
เมื่อผู้ชายจะกลายเป็นพ่อ (momypedia)
โดย: ชุติมา สมสืบ
อยากรู้ไหม..ผู้ชายคิดอะไร เมื่อรู้ว่ากำลังจะเป็นพ่อคน
เสียงกระซิบแผ่วเบาของภรรยาที่ข้างหูว่า ”คุณกำลังจะเป็นพ่อ” ใน วินาทีแรกที่รู้ แน่นอนว่าคงทำให้หัวใจของคนฟังเต้นแรง ความรู้สึกตื่นเต้น ดีใจ ประดังเข้ามาโดยเฉพาะเป็นการรอคอยการเกิดของอีกหนึ่งชีวิต ..... แต่วินาทีต่อมาหลังจากนั้น ผ่านวัน ผ่านเดือน ผ่านปี ของการรับบทบาทใหม่อย่างเต็มตัว ความสุข ความวุ่นวาย ปัญหา และการปรับตัวที่ตามมาอีกมากมาย...
แล้วความรู้สึกของ"พ่อ" เป็นเช่นไรเมื่อวันนี้ที่ "ชีวิตไม่เหมือนเดิม"
เติมเต็มมุมมองของคุณผู้อ่าน ผ่านการแลกเปลี่ยนความรู้สึก ความในใจ และประสบการณ์ของเหล่าคุณพ่อคนใหม่ ที่ผ่านฝน ผ่านหนาวร่วมรับรู้ทุกข์รับฟังสุขเคียงคู่อยู่ข้างคุณแม่ไม่เคยห่าง.. วันนี้ เขา มีความในใจจะมาบอก
Daddy Insight Poll
ด้วยความที่ผู้ชายส่วนใหญ่จะพูดหรือบอกความรู้สึกของตนเองออกมากน้อย โดยมักเก็บความรู้สึกเอาไว้ จนหลายครั้งยากที่จะคาดเดา ยิ่งบทบาทใหม่ในการเป็น "พ่อ" ด้วยแล้ว จะมีสักกี่คนที่บอกเล่าความในใจนี้ให้ผู้อื่นได้รับรู้ โดยเฉพาะในช่วงแรกนั้นความสนใจต่างๆอยู่ที่ตัวคุณแม่และลูกน้อยจนหมดสิ้น พ่อจึงมักจะถูกเหมาเอาว่าคือหลักพักพิง คือผู้ที่จะมั่นคงเข้มแข็งและเข้าใจทุกอย่าง รวมทั้ง(น่า)จะมีผลกระทบน้อยที่สุด
แต่ใครจะรู้ว่าหลังจากเป็น "พ่อ" คนใหม่แล้ว ผู้ชายคิดอะไรมากมายกว่านั้น รวมไปถึงความรู้สึกหวั่นไหวในบางเรื่องด้วยเหมือนกัน ที่สำคัญความทุ่มเทที่แม่มีให้ลูก สำหรับคุณพ่อแล้วก็ไม่ต่างกันเลยค่ะ
ครั้งนี้ Modern Mom จึงได้ไปลองสอบถามว่าหลังจากคุณสามีตื่นเต้นดีใจกับหนึ่งชีวิตที่จะเกิดมา คุณพ่อคนใหม่จะคิดเรื่องอะไรและรู้สึกอย่างไร Daddy Insight Poll จึงเกิดขึ้น และนี่คือ....ความในใจของคุณพ่อค่ะ
18.03% ครอบครัวสมบูรณ์ขึ้น
18.03% ตั้งใจและขยันทำงาน หารายได้เพิ่ม
18.03%ลดการสังสรรค์ กลับบ้านเร็ว ทุ่มเทเวลาให้ครอบครัว
15.57% ภูมิใจที่ได้ปกป้องใครอีกคน
14.75% คิดวางแผนและระวังเรื่องการใช้เงิน
8.20% กลัวตาย เพราะมีอีกหนึ่งชีวิตให้ต้องดูแล
4.10% เครียดกลัวเลี้ยงลูกไม่เป็น
3.29% อื่นๆ
18.03% ครอบครัวสมบูรณ์ขึ้น
แต่ไหนแต่ไรมาคนในสังคมเชื่อว่า ครอบครัวที่สมบูรณ์แบบที่สุดนั้นจะต้องมีพ่อ แม่ และลูกเป็นอย่างน้อย ส่วนใครที่แต่งงานแล้วไม่มีลูก แม้จะยังไม่รู้สึกว่าครอบครัวของตนขาดอะไรหรือไม่มีลูกก็มีความสุขได้ แต่ถ้าเทียบกันแล้ว ครอบครัวที่มีเสียงเด็กเจื้อยแจ้วมาช่วยเติมเต็ม เรียกคำว่าพ่อแม่...ย่อมเป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนามากที่สุด
18.03% ตั้งใจและขยันทำงานทำงาน หารายได้เพิ่ม
" มีลูกหนึ่งคนจนไป 7 ปี" เป็นคำพูดที่ได้ยินเข้าหูอยู่บ่อยๆ เมื่อใครสักคนพูดถึงภาระค่าใช้จ่ายที่ต้องเพิ่มขึ้นหลังมีลูก ฉะนั้นคุณแม่ไม่ต้องแปลกใจเมื่อเห็นว่าคุณพ่อขยันเป็นพิเศษ คิดโปรเจ็กต์มาปรึกษาเรื่องหารายได้เพิ่มให้ครอบครัว นั่นเพราะคุณพ่อได้เริ่มตระหนักแล้วค่ะว่า การมีเงินสำรองเพื่อลูกอย่างพอเพียง จะทำให้คุณภาพชีวิตของเจ้าตัวน้อยที่เกิดมามั่นคงไปด้วยนั่นเอง
18.03% ลดการสังสรรค์ กลับบ้านเร็ว ทุ่มเทเวลาให้ครอบครัว
ชีวิตของผู้ชายมักผูกพันเกาะเกี่ยวอยู่กับการสังสรรค์และเพื่อนมาตั้งแต่ช่วงวัย รุ่นแล้วจริงไหมคะ สมัยยังโสดเพื่อนเฮไหนก็เฮนั่น พอแต่งงานแล้วก็ยังสังสรรค์เกือบทุกเย็นวันศุกร์ บางทีวันเสาร์ยังตีกอล์ฟ วันอาทิตย์ค่อยอยู่บ้านแบ่งเวลาให้ครอบครัว พอมีเจ้าตัวเล็กคุณพ่อจะลดเวลาสำหรับเพื่อนลงไปมากจนแทบไม่รู้ตัว และไม่สนที่เพื่อนแซวว่าเห่อลูกเสียด้วย
15.57% ภูมิใจที่ได้ปกป้องใครอีกคน
เมื่อรู้ว่าจะเป็นพ่อ ว่าที่คุณพ่อคนใหม่ย่อมรู้สึกภาคภูมิใจอยู่ไม่น้อย คุณแม่ลองแอบมองจากรอยยิ้มบนใบหน้าสิคะ และด้วยสัญชาตญาณความเป็นพ่อที่มีอยู่ในตัวเขาย่อมต้องการที่จะปกป้องลูก น้อยให้เติบโตเป็นคนดีของพ่อแม่และสังคม ใช้ชีวิตอยู่ได้ด้วยตัวเอง และเมื่อนั้นแหละค่ะคืออีกวันหนึ่งที่คุณแม่จะเห็นรอยยิ้มอย่างภูมิใจสุดๆ ของคุณพ่ออีกครั้ง
14.75% คิดวางแผนและระวังเรื่องการใช้เงิน
แม้จะแต่งงานแล้วคุณสามีก็ยังมีเรื่องให้ใช้จ่ายมากมายจนบางครั้งเข้าข่าย ฟุ่มเฟือย ไม่ว่าจะมือถือ ไอพอต ฯลฯ พวกของใช้ไฮเทคเหล่านี้แหละค่ะที่ผู้ชายยอมลงทุนควักกระเป๋าจ่าย แต่พอรู้ตัวว่าเป็นคุณพ่อก็มักพลิกพฤติกรรมการใช้เงินจากหน้ามือเป็นหลังมือ คิดหน้าคิดหลังมากขึ้น ลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น อุดส่วนที่เงินจะรั่วไหลได้มากขึ้น เคยได้ยินมาว่าคุณพ่อบางคนลดค่าใช้จ่ายส่วนตัวลงไป 3,000-5,000 บาท เพื่อเอาเงินส่วนนี้มาออมให้ลูกค่ะ
8.2% กลัวตาย เพราะมีอีกหนึ่งชีวิตให้ต้องดูแล
เรื่องความปลอดภัยของชีวิต เป็นเรื่องใหญ่ที่คุณพ่อมือใหม่หลายคนแอบกังวลใจอยู่ลึกๆ เพราะไม่อยากพูดให้คุณแม่ไม่สบายใจ หากคุณแม่สังเกตสักนิดจะเห็นว่าหลังจากที่มีลูกแล้ว คุณพ่อมือใหม่หลายคนที่เคยใช้ชีวิตอย่างโลดโผน หรือเสี่ยงอันตรายกลับมีความรอบคอบในการดำเนินชีวิต หลีกเลี่ยงความเสี่ยงต่างๆ และระมัดระวังไม่ให้เกิดความผิดพลาดใดๆ กับตัวเอง เพื่อที่คุณพ่อจะได้มีโอกาสเลี้ยงลูกให้เติบโตและเป็นที่พึ่งพาของลูกต่อไป จากที่เคยอยู่ด้วยกัน 2 ชีวิต แต่เมื่อมีอีกหนึ่งชีวิตน้อยๆ เพิ่มขึ้นมา ภาระหน้าที่ของพ่อจะต้องเพิ่มมากขึ้นไม่น้อยไปกว่าคุณแม่
4.1% เครียดกลัวเลี้ยงลูกไม่เป็น
ช่วง 2-3 เดือนแรกหลังจากรับบทบาทคุณพ่อคนใหม่ มีสารพัดเรื่องราวที่คุณพ่อเครียดและกลัวไม่แพ้คุณแม่คนใหม่เลยค่ะ นั้นเป็นเพราะคุณพ่อรู้สึกว่าหน้าที่เลี้ยงลูกเป็นเรื่องที่ต้องช่วยกัน เพราะอย่างนี้คุณพ่อจึงมักกังวลไม่มั่นใจกับการอุ้ม การอาบน้ำ ป้อนนม ให้ลูก ยิ่งถ้าบ้านไหนไม่มีปู่ย่าตายายมาช่วยดูแล้วละก็ ความกังวลเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว ช่วงแรกๆ ท่าทีของคุณพ่ออาจจะเก้ๆ กังๆ อยู่บ้างคุณแม่ก็อย่าเพิ่งไปต่อว่านะคะ ปล่อยให้พ่อลูกได้ทำความรู้จักกันมากขึ้นจนคุ้นเคย ไม่แน่นะอาจมีบางอย่างที่คุณพ่อทำได้ดีกว่าคุณแม่ก็ได้
3.29% อื่นๆ
สถานการณ์ อื่น เช่น สุขภาพของภรรยา สุขภาพของลูกน้อย ฯลฯ ซึ่งความรู้สึกเหล่านี้คุณพ่อมักจะเลือกไม่พูด ไม่แสดงออก เพราะเกรงว่าจะกระทบต่อจิตใจหรือความรู้สึกคนรอบข้างโดยเฉพาะคุณแม่ค่ะ
โดยทั้งหมดนี้ น.พ.ดุสิต ลิขนะพิชิตกุล ได้ช่วยวิเคราะห์ประเด็นหลักๆสรุปได้ว่า ผู้ชายนั้นเมื่อมีลูก สถานะที่เปลี่ยนไปทำให้เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตโดยรวม เช่น ลดการสังสรรค์กับเพื่อนลง กลับบ้านเร็วขึ้น หรือวางแผนเรื่องเงินมากขึ้น อารมณ์ความรู้สึกภูมิใจที่ได้ปกป้องใครอีกคน ที่สำคัญรู้สึกครอบครัวสมบูรณ์ขึ้น
แต่ทั้งหมดนี้ก็มีคุณพ่อส่วนหนึ่งที่มีทัศนคติเชิงลบอยู่บ้าง(ประมาณ 0.82%) โดยมีผลมาจาก ความเครียดเรื่องการเลี้ยงลูก หรือกลัวว่าตัวเองจะทำหน้าที่ได้ไม่ดี กลัวการพลัดพราก การตายจาก ซึ่งถ้าพิจารณาลึกๆแล้วจะเห็นว่าเป็นอารมณ์บวกซ่อนอยู่ เนื่องจากความรักลูกมากนั่นเอง จึงทำให้เกิดความกลัว ความกังวลสารพัดค่ะ
โดย: ชุติมา สมสืบ
อยากรู้ไหม..ผู้ชายคิดอะไร เมื่อรู้ว่ากำลังจะเป็นพ่อคน
เสียงกระซิบแผ่วเบาของภรรยาที่ข้างหูว่า ”คุณกำลังจะเป็นพ่อ” ใน วินาทีแรกที่รู้ แน่นอนว่าคงทำให้หัวใจของคนฟังเต้นแรง ความรู้สึกตื่นเต้น ดีใจ ประดังเข้ามาโดยเฉพาะเป็นการรอคอยการเกิดของอีกหนึ่งชีวิต ..... แต่วินาทีต่อมาหลังจากนั้น ผ่านวัน ผ่านเดือน ผ่านปี ของการรับบทบาทใหม่อย่างเต็มตัว ความสุข ความวุ่นวาย ปัญหา และการปรับตัวที่ตามมาอีกมากมาย...
แล้วความรู้สึกของ"พ่อ" เป็นเช่นไรเมื่อวันนี้ที่ "ชีวิตไม่เหมือนเดิม"
เติมเต็มมุมมองของคุณผู้อ่าน ผ่านการแลกเปลี่ยนความรู้สึก ความในใจ และประสบการณ์ของเหล่าคุณพ่อคนใหม่ ที่ผ่านฝน ผ่านหนาวร่วมรับรู้ทุกข์รับฟังสุขเคียงคู่อยู่ข้างคุณแม่ไม่เคยห่าง.. วันนี้ เขา มีความในใจจะมาบอก
Daddy Insight Poll
ด้วยความที่ผู้ชายส่วนใหญ่จะพูดหรือบอกความรู้สึกของตนเองออกมากน้อย โดยมักเก็บความรู้สึกเอาไว้ จนหลายครั้งยากที่จะคาดเดา ยิ่งบทบาทใหม่ในการเป็น "พ่อ" ด้วยแล้ว จะมีสักกี่คนที่บอกเล่าความในใจนี้ให้ผู้อื่นได้รับรู้ โดยเฉพาะในช่วงแรกนั้นความสนใจต่างๆอยู่ที่ตัวคุณแม่และลูกน้อยจนหมดสิ้น พ่อจึงมักจะถูกเหมาเอาว่าคือหลักพักพิง คือผู้ที่จะมั่นคงเข้มแข็งและเข้าใจทุกอย่าง รวมทั้ง(น่า)จะมีผลกระทบน้อยที่สุด
แต่ใครจะรู้ว่าหลังจากเป็น "พ่อ" คนใหม่แล้ว ผู้ชายคิดอะไรมากมายกว่านั้น รวมไปถึงความรู้สึกหวั่นไหวในบางเรื่องด้วยเหมือนกัน ที่สำคัญความทุ่มเทที่แม่มีให้ลูก สำหรับคุณพ่อแล้วก็ไม่ต่างกันเลยค่ะ
ครั้งนี้ Modern Mom จึงได้ไปลองสอบถามว่าหลังจากคุณสามีตื่นเต้นดีใจกับหนึ่งชีวิตที่จะเกิดมา คุณพ่อคนใหม่จะคิดเรื่องอะไรและรู้สึกอย่างไร Daddy Insight Poll จึงเกิดขึ้น และนี่คือ....ความในใจของคุณพ่อค่ะ
18.03% ครอบครัวสมบูรณ์ขึ้น
18.03% ตั้งใจและขยันทำงาน หารายได้เพิ่ม
18.03%ลดการสังสรรค์ กลับบ้านเร็ว ทุ่มเทเวลาให้ครอบครัว
15.57% ภูมิใจที่ได้ปกป้องใครอีกคน
14.75% คิดวางแผนและระวังเรื่องการใช้เงิน
8.20% กลัวตาย เพราะมีอีกหนึ่งชีวิตให้ต้องดูแล
4.10% เครียดกลัวเลี้ยงลูกไม่เป็น
3.29% อื่นๆ
18.03% ครอบครัวสมบูรณ์ขึ้น
แต่ไหนแต่ไรมาคนในสังคมเชื่อว่า ครอบครัวที่สมบูรณ์แบบที่สุดนั้นจะต้องมีพ่อ แม่ และลูกเป็นอย่างน้อย ส่วนใครที่แต่งงานแล้วไม่มีลูก แม้จะยังไม่รู้สึกว่าครอบครัวของตนขาดอะไรหรือไม่มีลูกก็มีความสุขได้ แต่ถ้าเทียบกันแล้ว ครอบครัวที่มีเสียงเด็กเจื้อยแจ้วมาช่วยเติมเต็ม เรียกคำว่าพ่อแม่...ย่อมเป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนามากที่สุด
18.03% ตั้งใจและขยันทำงานทำงาน หารายได้เพิ่ม
" มีลูกหนึ่งคนจนไป 7 ปี" เป็นคำพูดที่ได้ยินเข้าหูอยู่บ่อยๆ เมื่อใครสักคนพูดถึงภาระค่าใช้จ่ายที่ต้องเพิ่มขึ้นหลังมีลูก ฉะนั้นคุณแม่ไม่ต้องแปลกใจเมื่อเห็นว่าคุณพ่อขยันเป็นพิเศษ คิดโปรเจ็กต์มาปรึกษาเรื่องหารายได้เพิ่มให้ครอบครัว นั่นเพราะคุณพ่อได้เริ่มตระหนักแล้วค่ะว่า การมีเงินสำรองเพื่อลูกอย่างพอเพียง จะทำให้คุณภาพชีวิตของเจ้าตัวน้อยที่เกิดมามั่นคงไปด้วยนั่นเอง
18.03% ลดการสังสรรค์ กลับบ้านเร็ว ทุ่มเทเวลาให้ครอบครัว
ชีวิตของผู้ชายมักผูกพันเกาะเกี่ยวอยู่กับการสังสรรค์และเพื่อนมาตั้งแต่ช่วงวัย รุ่นแล้วจริงไหมคะ สมัยยังโสดเพื่อนเฮไหนก็เฮนั่น พอแต่งงานแล้วก็ยังสังสรรค์เกือบทุกเย็นวันศุกร์ บางทีวันเสาร์ยังตีกอล์ฟ วันอาทิตย์ค่อยอยู่บ้านแบ่งเวลาให้ครอบครัว พอมีเจ้าตัวเล็กคุณพ่อจะลดเวลาสำหรับเพื่อนลงไปมากจนแทบไม่รู้ตัว และไม่สนที่เพื่อนแซวว่าเห่อลูกเสียด้วย
15.57% ภูมิใจที่ได้ปกป้องใครอีกคน
เมื่อรู้ว่าจะเป็นพ่อ ว่าที่คุณพ่อคนใหม่ย่อมรู้สึกภาคภูมิใจอยู่ไม่น้อย คุณแม่ลองแอบมองจากรอยยิ้มบนใบหน้าสิคะ และด้วยสัญชาตญาณความเป็นพ่อที่มีอยู่ในตัวเขาย่อมต้องการที่จะปกป้องลูก น้อยให้เติบโตเป็นคนดีของพ่อแม่และสังคม ใช้ชีวิตอยู่ได้ด้วยตัวเอง และเมื่อนั้นแหละค่ะคืออีกวันหนึ่งที่คุณแม่จะเห็นรอยยิ้มอย่างภูมิใจสุดๆ ของคุณพ่ออีกครั้ง
14.75% คิดวางแผนและระวังเรื่องการใช้เงิน
แม้จะแต่งงานแล้วคุณสามีก็ยังมีเรื่องให้ใช้จ่ายมากมายจนบางครั้งเข้าข่าย ฟุ่มเฟือย ไม่ว่าจะมือถือ ไอพอต ฯลฯ พวกของใช้ไฮเทคเหล่านี้แหละค่ะที่ผู้ชายยอมลงทุนควักกระเป๋าจ่าย แต่พอรู้ตัวว่าเป็นคุณพ่อก็มักพลิกพฤติกรรมการใช้เงินจากหน้ามือเป็นหลังมือ คิดหน้าคิดหลังมากขึ้น ลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น อุดส่วนที่เงินจะรั่วไหลได้มากขึ้น เคยได้ยินมาว่าคุณพ่อบางคนลดค่าใช้จ่ายส่วนตัวลงไป 3,000-5,000 บาท เพื่อเอาเงินส่วนนี้มาออมให้ลูกค่ะ
8.2% กลัวตาย เพราะมีอีกหนึ่งชีวิตให้ต้องดูแล
เรื่องความปลอดภัยของชีวิต เป็นเรื่องใหญ่ที่คุณพ่อมือใหม่หลายคนแอบกังวลใจอยู่ลึกๆ เพราะไม่อยากพูดให้คุณแม่ไม่สบายใจ หากคุณแม่สังเกตสักนิดจะเห็นว่าหลังจากที่มีลูกแล้ว คุณพ่อมือใหม่หลายคนที่เคยใช้ชีวิตอย่างโลดโผน หรือเสี่ยงอันตรายกลับมีความรอบคอบในการดำเนินชีวิต หลีกเลี่ยงความเสี่ยงต่างๆ และระมัดระวังไม่ให้เกิดความผิดพลาดใดๆ กับตัวเอง เพื่อที่คุณพ่อจะได้มีโอกาสเลี้ยงลูกให้เติบโตและเป็นที่พึ่งพาของลูกต่อไป จากที่เคยอยู่ด้วยกัน 2 ชีวิต แต่เมื่อมีอีกหนึ่งชีวิตน้อยๆ เพิ่มขึ้นมา ภาระหน้าที่ของพ่อจะต้องเพิ่มมากขึ้นไม่น้อยไปกว่าคุณแม่
4.1% เครียดกลัวเลี้ยงลูกไม่เป็น
ช่วง 2-3 เดือนแรกหลังจากรับบทบาทคุณพ่อคนใหม่ มีสารพัดเรื่องราวที่คุณพ่อเครียดและกลัวไม่แพ้คุณแม่คนใหม่เลยค่ะ นั้นเป็นเพราะคุณพ่อรู้สึกว่าหน้าที่เลี้ยงลูกเป็นเรื่องที่ต้องช่วยกัน เพราะอย่างนี้คุณพ่อจึงมักกังวลไม่มั่นใจกับการอุ้ม การอาบน้ำ ป้อนนม ให้ลูก ยิ่งถ้าบ้านไหนไม่มีปู่ย่าตายายมาช่วยดูแล้วละก็ ความกังวลเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว ช่วงแรกๆ ท่าทีของคุณพ่ออาจจะเก้ๆ กังๆ อยู่บ้างคุณแม่ก็อย่าเพิ่งไปต่อว่านะคะ ปล่อยให้พ่อลูกได้ทำความรู้จักกันมากขึ้นจนคุ้นเคย ไม่แน่นะอาจมีบางอย่างที่คุณพ่อทำได้ดีกว่าคุณแม่ก็ได้
3.29% อื่นๆ
สถานการณ์ อื่น เช่น สุขภาพของภรรยา สุขภาพของลูกน้อย ฯลฯ ซึ่งความรู้สึกเหล่านี้คุณพ่อมักจะเลือกไม่พูด ไม่แสดงออก เพราะเกรงว่าจะกระทบต่อจิตใจหรือความรู้สึกคนรอบข้างโดยเฉพาะคุณแม่ค่ะ
โดยทั้งหมดนี้ น.พ.ดุสิต ลิขนะพิชิตกุล ได้ช่วยวิเคราะห์ประเด็นหลักๆสรุปได้ว่า ผู้ชายนั้นเมื่อมีลูก สถานะที่เปลี่ยนไปทำให้เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตโดยรวม เช่น ลดการสังสรรค์กับเพื่อนลง กลับบ้านเร็วขึ้น หรือวางแผนเรื่องเงินมากขึ้น อารมณ์ความรู้สึกภูมิใจที่ได้ปกป้องใครอีกคน ที่สำคัญรู้สึกครอบครัวสมบูรณ์ขึ้น
แต่ทั้งหมดนี้ก็มีคุณพ่อส่วนหนึ่งที่มีทัศนคติเชิงลบอยู่บ้าง(ประมาณ 0.82%) โดยมีผลมาจาก ความเครียดเรื่องการเลี้ยงลูก หรือกลัวว่าตัวเองจะทำหน้าที่ได้ไม่ดี กลัวการพลัดพราก การตายจาก ซึ่งถ้าพิจารณาลึกๆแล้วจะเห็นว่าเป็นอารมณ์บวกซ่อนอยู่ เนื่องจากความรักลูกมากนั่นเอง จึงทำให้เกิดความกลัว ความกังวลสารพัดค่ะ
Friday, June 04, 2010
ข้อควรรู้ 27 ข้อ เพื่อชีวิตที่ดีกว่า
1. อย่าขับรถเร็วเกินกว่าที่เทวดาประจำตัวของคุณบินทันเป็นอันขาด
2. จงวางแผนล่วงหน้า : ฝนยังไม่ตกหรอกนะตอนโนอาห์สร้างเรือน่ะ
3. การแก้แค้นไม่ทำให้เรารู้สึกดีขึ้น เหมือนกับดื่มน้ำทะเลเวลาหิวน้ำนั่นแหละ
4. ความหมายของความสุขขึ้นอยู่กับสิ่งที่คุณอยากให้มันเป็น
5. “อย่ากลัวความฝันของคุณ : มันง่ายกว่าที่คิด”
6. นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า ทุกๆ 4 คน จะมีคนหนึ่งที่สติเพี้ยนๆลองเช็คเพื่อนคุณสัก 3
คนสิ ถ้าทุกคนปกติดี ก็คุณน่ะแหละ
7. แบ่งปันรอยยิ้มของคุณให้กับทุกคน แต่ให้เก็บจุมพิตให้กับคนเพียงคนเดียว
8. บางครั้งวิธีช่วยที่ดีที่สุดที่คุณทำได้ก็คือ ผลักเขาแรงๆ(หมายถึงผลักดันให้เขาทำสิ่งที่ลังเลอยู่น่ะ)
9. น้ำตาจะให้คุณก็แค่ความเห็นอกเห็นใจ แต่เหงื่อจะทำให้คุณประสบความสำเร็จ
10. สิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตนี้ไม่ใช่วัตถุ
11. มอบสองสิ่งให้กับลูกของคุณ อย่างหนึ่งคือรากฐานที่มั่นคง อีกอย่างก็คือ ปีกที่จะบินออกไปเอง
12.การออกกำลังกายที่ดีที่สุดสำหรับจิตใจคือการก้มลงแล้วช่วยคนอื่นให้ลุกขึ้น
13. คนคนหนึ่งอาจทำอะไรผิดพลาดได้หลายอย่างแต่มันจะกลายเป็นความพ่ายแพ้ไปจริงๆ เมื่อเขาเริ่มโยนความผิดไปให้คนอื่น
14. เพื่อนแท้คือคนที่เชื่อว่าคุณเป็นฟองไข่ที่สมบูรณ์แม้ว่าจริงๆแล้วคุณจะมีรอยร้าวไปแล้วครึ่งหนึ่ง
15. นี่คือวิธีที่จะรู้ว่าหน้าที่ของคุณบนโลกใบนี้จบสิ้นแล้วหรือยัง :ถ้าคุณยังมีชีวิตอยู่ มันก็ยังไม่จบ
16. ชีวิตเรียนรู้ได้จากการย้อนระลึกถึง แต่ชีวิตต้องก้าวไปข้างหน้า
17. การใช้ชีวิตอยู่บนโลกนั้นต้องเสียค่าใช้จ่ายแพงมากแต่เราก็ได้เดินทางรอบดวงอาทิตย์ฟรีๆเป็นของแถม
18. ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่มนุษย์เราจะร่ำรวยความผิดพลาดเกิดขึ้นเมื่อความร่ำรวย เริ่มครอบครองมนุษย์
19. เรารู้สึกดีที่มีความสำคัญ แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือเป็นคนดี
20. มีแต่ปลาตายที่ลอยตามน้ำ
21. คุณค่าของคนคนหนึ่งบอกได้จากวิธีที่เขาปฏิบัติต่อคนที่เขาไม่ต้องการ
22. เงยหน้าขึ้นรับแสงตะวัน แล้วคุณจะไม่มีวันพบกับเงามืด -เฮเลนเคลเลอร์
23. คนอ่อนแอเท่านั้นที่ให้อภัยใครไม่เป็นการให้อภัยเป็นคุณสมบัติของผู้เข้มแข็ง
24. คำว่า listen (ฟัง) นั้นใช้ตัวอักษรชุดเดียวกับคำว่า silent (เงียบ)
25. ไม่มีผู้โดยสารบนยานอวกาศที่ชื่อว่า “โลก”พวกเราทุกคนล้วนแต่เป็นลูกเรือทั้งสิ้น
26. ในโลกนี้ไม่มีคนแปลกหน้าสำหรับเรามีแต่เพื่อนที่เรายังไม่ได้พบเท่านั้น
27. เมื่อคุณพูดความจริง คุณไม่จำเป็นต้องไปนั่งจำ
2. จงวางแผนล่วงหน้า : ฝนยังไม่ตกหรอกนะตอนโนอาห์สร้างเรือน่ะ
3. การแก้แค้นไม่ทำให้เรารู้สึกดีขึ้น เหมือนกับดื่มน้ำทะเลเวลาหิวน้ำนั่นแหละ
4. ความหมายของความสุขขึ้นอยู่กับสิ่งที่คุณอยากให้มันเป็น
5. “อย่ากลัวความฝันของคุณ : มันง่ายกว่าที่คิด”
6. นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า ทุกๆ 4 คน จะมีคนหนึ่งที่สติเพี้ยนๆลองเช็คเพื่อนคุณสัก 3
คนสิ ถ้าทุกคนปกติดี ก็คุณน่ะแหละ
7. แบ่งปันรอยยิ้มของคุณให้กับทุกคน แต่ให้เก็บจุมพิตให้กับคนเพียงคนเดียว
8. บางครั้งวิธีช่วยที่ดีที่สุดที่คุณทำได้ก็คือ ผลักเขาแรงๆ(หมายถึงผลักดันให้เขาทำสิ่งที่ลังเลอยู่น่ะ)
9. น้ำตาจะให้คุณก็แค่ความเห็นอกเห็นใจ แต่เหงื่อจะทำให้คุณประสบความสำเร็จ
10. สิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตนี้ไม่ใช่วัตถุ
11. มอบสองสิ่งให้กับลูกของคุณ อย่างหนึ่งคือรากฐานที่มั่นคง อีกอย่างก็คือ ปีกที่จะบินออกไปเอง
12.การออกกำลังกายที่ดีที่สุดสำหรับจิตใจคือการก้มลงแล้วช่วยคนอื่นให้ลุกขึ้น
13. คนคนหนึ่งอาจทำอะไรผิดพลาดได้หลายอย่างแต่มันจะกลายเป็นความพ่ายแพ้ไปจริงๆ เมื่อเขาเริ่มโยนความผิดไปให้คนอื่น
14. เพื่อนแท้คือคนที่เชื่อว่าคุณเป็นฟองไข่ที่สมบูรณ์แม้ว่าจริงๆแล้วคุณจะมีรอยร้าวไปแล้วครึ่งหนึ่ง
15. นี่คือวิธีที่จะรู้ว่าหน้าที่ของคุณบนโลกใบนี้จบสิ้นแล้วหรือยัง :ถ้าคุณยังมีชีวิตอยู่ มันก็ยังไม่จบ
16. ชีวิตเรียนรู้ได้จากการย้อนระลึกถึง แต่ชีวิตต้องก้าวไปข้างหน้า
17. การใช้ชีวิตอยู่บนโลกนั้นต้องเสียค่าใช้จ่ายแพงมากแต่เราก็ได้เดินทางรอบดวงอาทิตย์ฟรีๆเป็นของแถม
18. ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่มนุษย์เราจะร่ำรวยความผิดพลาดเกิดขึ้นเมื่อความร่ำรวย เริ่มครอบครองมนุษย์
19. เรารู้สึกดีที่มีความสำคัญ แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือเป็นคนดี
20. มีแต่ปลาตายที่ลอยตามน้ำ
21. คุณค่าของคนคนหนึ่งบอกได้จากวิธีที่เขาปฏิบัติต่อคนที่เขาไม่ต้องการ
22. เงยหน้าขึ้นรับแสงตะวัน แล้วคุณจะไม่มีวันพบกับเงามืด -เฮเลนเคลเลอร์
23. คนอ่อนแอเท่านั้นที่ให้อภัยใครไม่เป็นการให้อภัยเป็นคุณสมบัติของผู้เข้มแข็ง
24. คำว่า listen (ฟัง) นั้นใช้ตัวอักษรชุดเดียวกับคำว่า silent (เงียบ)
25. ไม่มีผู้โดยสารบนยานอวกาศที่ชื่อว่า “โลก”พวกเราทุกคนล้วนแต่เป็นลูกเรือทั้งสิ้น
26. ในโลกนี้ไม่มีคนแปลกหน้าสำหรับเรามีแต่เพื่อนที่เรายังไม่ได้พบเท่านั้น
27. เมื่อคุณพูดความจริง คุณไม่จำเป็นต้องไปนั่งจำ
Tuesday, June 01, 2010
ดุแบบสร้างบารมี...ทำอย่างไร ?*
ดุแบบสร้างบารมี...ทำอย่างไร ?*
คอลัมน์ องค์กรแห่งการเรียนรู้และการจัดการความรู้
โดย ผศ.ดร.มงคลชัย วิริยะพินิจ Mongkolc...@acc.chula.ac.th
ใน ฐานะที่ผมสนใจและใส่ใจในเรื่องการศึกษาวิจัยในเรื่องเกี่ยวกับองค์กรแห่งการ เรียนรู้และการจัดการความรู้นั้น จึงคิดว่าได้ย้ำกับท่านผู้อ่านมาไม่มากก็น้อยผ่านทางการเขียนบทความที่ผ่าน มาว่า บทบาทของผู้นำในองค์กรนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการจัดการความรู้ใน องค์กรอย่างที่ให้เกิดประสิทธิผล และต่อการพัฒนาองค์กรไปสู่การเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ และการให้คุณให้โทษกับผู้ใต้บังคับบัญชาก็ถือเป็นหน้าที่หลักของผู้นำหรือ เจ้านายในองค์กรที่ต้องทำให้ถูกต้องและเหมาะสม
มาในวันนี้ผมขอเน้น ที่จะเขียนกล่าวถึงเรื่องของการให้โทษ เพื่อให้สอดคล้องกับชื่อของบทความนี้กับคำถามที่ว่า ผิดไหมที่จะ "ดุ" ลูกน้อง และเป็นที่แน่นอนที่ผมจะบอกว่า "ไม่ผิด" เพราะการดุลูกน้องถือเป็นการให้โทษลูกน้องวิธีหนึ่ง ที่คนที่เป็นเจ้านายคนหนึ่งพึงจะกระทำ แต่ที่ผมต้องเน้นเขียนเรื่องการดุลูกน้องนี้ ก็เพราะว่าในสังคมไทยนั้น การที่ใครสักคนโดนดุถือเป็นเรื่องใหญ่ เพราะสังคมไทยเป็นสังคมที่เกรงใจกัน ประนีประนอมกัน ไว้หน้าไว้ตาซึ่งกันและกัน เพราะฉะนั้นถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรงก็คงจะไม่ออกปากดุกัน ลูกน้องบางคนอาจรับไม่ได้และพานจะไม่เข้าใจว่าทำไมถึงโดนดุ และทำให้รู้สึกไม่ดีกับเจ้านาย เพราะตั้งแต่เกิดมาไม่เคยโดนดุ พ่อแม่เลี้ยงมาด้วยความทะนุถนอม เจอลูกน้องอย่างนี้เจ้านายบางคนก็ลำบากใจเหมือนกัน
อย่างไรก็ดี ผมขอแนะนำว่า ถ้าจำเป็นจะต้องดุลูกน้องก็ขอให้ดุไป แต่โปรดอย่าดุแบบใช้อำนาจ หรือใช้อารมณ์ แต่ขอให้เป็นการดุแบบสร้างบารมี การดุทั้งสองประเภทนี้แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ซึ่งถ้าท่านผู้อ่านยังไม่เห็นภาพถึงความแตกต่างให้ลองจินตนาการดูว่า ถ้าท่านผู้อ่านโดนใครสักคนหนึ่งดุแล้วมีความรู้สึกอยากดุกลับ ถ้าเป็นอย่างนี้ก็จะเป็นการสะท้อนให้เห็นว่าท่านโดนดุโดยคนที่ใช้อำนาจและ อารมณ์เป็นใหญ่ในการบริหารคน แต่ถ้าท่านโดนดุและหลังจากที่โดนดุท่านได้เก็บคำดุมาพิจารณาต่อให้กลายเป็น บทเรียน อันนี้ผมถือว่าผู้ที่ดุท่านนั้นมีวิธีการดุแบบสร้างบารมี
การ ดุแบบสร้างบารมีนั้นมิใช่เรื่องยาก เพราะการเป็นผู้มีบารมีนั้นก็คือการเป็นที่รัก (อย่างจริงใจ) ที่ให้เกียรติ (อย่างจริงใจ) ที่สรรเสริญ (อย่างจริงใจ) ของคนทั่วไป ที่ต้องใส่วงเล็บคำว่า ความจริงใจ ลงไปในที่นี้ ก็เพราะว่าต้องการชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างคำว่า "อำนาจ" กับ "บารมี" เพราะถ้าเกิดผมเอาวงเล็บออกจะแสดงให้เห็นถึงการเป็นผู้มีอำนาจมากกว่าเป็น ผู้มีบารมีทันที อย่างไรก็ดีท่านผู้อ่านคงจะสงสัยว่า แล้วการดุแบบสร้างบารมีนั้นทำอย่างไร โดยเฉพาะในฐานะของการเป็นเจ้านาย การดุแบบสร้างบารมีนั้นทำได้ไม่ยาก การดุแบบสร้างบารมีเป็นการดุอย่างที่ก่อให้เกิดผลการทำงานที่ดี และก่อให้เกิดพัฒนาการในการทำงาน เมื่อการดุนั้นเกิดสัมฤทธิผล เจ้านายก็จะรู้สึกดีที่ลูกน้องทำงานจนก่อให้เกิดผลลัพธ์ตามเป้าหมายที่ได้ วางไว้ ส่วนลูกน้องก็จะเกิดความสุขใจที่ได้พัฒนาศักยภาพในการทำงาน
ใน ฐานะเจ้านาย การดุแบบสร้างบารมีคือการพูดจาอย่างตรงไปตรงมากับลูกน้องด้วยความจริงใจและ ใส่ใจ ซึ่งถือเป็นศิลปะอย่างหนึ่งในการเป็นเจ้านาย เจ้านายควรใช้น้ำเสียงที่แสดงให้เห็นถึงความจริงจังโดยที่ปราศจากอารมณ์โกรธ ในการพูดมากกว่าที่จะใช้น้ำเสียงที่แสดงให้เห็นถึงความสะใจที่มักจะมาพร้อม กับอารมณ์โกรธ เจ้านายควรเริ่มดุด้วยการอธิบายก่อนว่า อะไรเป็นสาเหตุที่จะต้องเรียกลูกน้องมาว่ากล่าวตักเตือน เจ้านายจะต้องอธิบายให้ลูกน้องเห็นว่าสิ่งที่ว่ากล่าวตักเตือนนั้นมีผลอย่าง ไร หรือสำคัญอย่างไรต่อหน้าที่การงาน หรือความสามารถในการทำงานของลูกน้อง เจ้านายจะต้องอธิบายให้ลูกน้องเห็นว่า เมื่อลูกน้องสามารถปรับปรุงพฤติกรรมหรือสิ่งต่างๆ ที่เป็นต้นเหตุของการถูกดุแล้วจะส่งผลดีต่อลูกน้องอย่างไรบ้าง และต้องไม่ลืมที่จะถามความคิดเห็นของลูกน้องว่าคิดอย่างไรกับที่สิ่งที่ได้ ดุไป หรือว่าลูกน้องมีอะไรที่จะอธิบายหรือไม่ และเจ้านายควรตั้งใจฟังลูกน้องและนำสิ่งที่ลูกน้องได้กล่าวอธิบายมาแสดงความ คิดเห็นต่อยอดเพื่อให้เกิดความเข้าใจตรงกันก่อนที่ลูกน้องจะลุกเดินจากไป
การ ดุตามแนวทางดังกล่าวเป็นการช่วยเสริมสร้างบารมีของเจ้านาย เพราะลูกน้องสามารถรู้สึกได้ว่าเจ้านายดุด้วยความเอาใจใส่ ไม่ใช่ดุด้วยความรู้สึกที่สักแต่ว่าดุ ดุด้วยความไม่พอใจ หรือดุเพื่อให้ได้มาซึ่งงานที่สำเร็จลุล่วงตามที่ได้มอบหมายไว้เท่านั้น แต่เป็นการดุที่เสริมสร้างการใฝ่รู้ในการทำงานของลูกน้อง การดุด้วยวิธีดังกล่าวจะทำให้ลูกน้องเกิดความกระตือรือร้นในการทำงานด้วย ความเต็มใจและความสมัครใจ และเป็นผลให้ลูกน้องสามารถปรับทัศนคติในการทำงานที่ไม่ใช่สักแต่ว่าทำให้ เสร็จๆ ไปวันๆ แต่ให้เกิดการเรียนรู้และพัฒนาการในการทำงาน และในที่สุดลูกน้องก็จะรู้สึกดี รู้สึกให้เกียรติและเคารพในคำพูดของเจ้านาย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นการสร้างบารมีในตัวเจ้านายเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา เกิดจากการบังคับบัญชาด้วยการเอาใจลูกน้องมาใส่ใจตน หรือเรียกได้ว่าเป็นการบริหารคนด้วยความเอาใจใส่
เพราะฉะนั้นใน สำนวนไทยที่ว่า รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี นั้นผมถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่ขัดต่อเรื่องขององค์กรแห่งการเรียนรู้และการ จัดการความรู้ ผมคิดว่าท่านผู้อ่านคงเคยโดนคุณพ่อคุณแม่ดุว่ากล่าวตักเตือน หรือแม้กระทั่งโดนตีในสมัยเด็กๆ กันมาบ้าง จนทุกวันนี้คิดว่าทุกท่านคงจะไม่โกรธที่คุณพ่อคุณแม่ดุว่าหรือตีในวัยเด็ก เพราะทุกท่านก็เข้าใจว่าคุณพ่อคุณแม่กระทำไปด้วยความหวังดี ด้วยความรัก ด้วยความเอาใจใส่ การทำโทษเหล่านั้นเป็นการอบรมสั่งสอนเพื่อให้ลูกเรียนรู้ว่าสิ่งใดที่ถูก หรือผิด และให้มีพฤติกรรมที่เหมาะสม และรักดี รักความก้าวหน้า และพัฒนาตนเองจนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ จวบจนทุกคนก็อดที่จะตระหนักมิได้ว่า คุณพ่อคุณแม่คือผู้มีบารมีในใจเราทุกคนเสมอมา
และผมก็ไม่เห็นความ แตกต่างเลยที่ท่านทั้งหลายในฐานะเจ้านายจะนำแนวคิดหรือแนวทางของการปกครอง ลูกมาประยุกต์ใช้กับการปกครองลูกน้อง เพราะพ่อแม่ทุกคนปกครองลูกด้วยความรักและความเอาใจใส่ ในที่สุดเมื่อลูกได้ดีมีความกตัญญูรู้คุณ ก็จะประกอบสิ่งดีงามเพื่อตอบแทนพระคุณพ่อพระคุณแม่ ลูกน้องก็เช่นกัน เมื่อรู้ว่าเจ้านายปกครองด้วยความเอาใจใส่ ด้วยความหวังดีและจริงใจก็จะมีใจที่จะขยันหมั่นเพียรตั้งใจทำงานและให้ความ ร่วมมือในการทำงานอย่างเต็มที่และสมัครใจ ก่อให้เกิดผลการทำงานที่ดี และความสัมพันธ์อันดีระหว่างเจ้านายและลูกน้อง
และเนื่องในวันแม่แห่งชาติปีนี้ จึงอยากให้ทุกท่านร่วมกันรำลึกถึงความรัก และความเอาใจใส่ที่คุณแม่ทุกคนมีให้กับลูกนะครับ
คอลัมน์ องค์กรแห่งการเรียนรู้และการจัดการความรู้
โดย ผศ.ดร.มงคลชัย วิริยะพินิจ Mongkolc...@acc.chula.ac.th
ใน ฐานะที่ผมสนใจและใส่ใจในเรื่องการศึกษาวิจัยในเรื่องเกี่ยวกับองค์กรแห่งการ เรียนรู้และการจัดการความรู้นั้น จึงคิดว่าได้ย้ำกับท่านผู้อ่านมาไม่มากก็น้อยผ่านทางการเขียนบทความที่ผ่าน มาว่า บทบาทของผู้นำในองค์กรนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการจัดการความรู้ใน องค์กรอย่างที่ให้เกิดประสิทธิผล และต่อการพัฒนาองค์กรไปสู่การเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ และการให้คุณให้โทษกับผู้ใต้บังคับบัญชาก็ถือเป็นหน้าที่หลักของผู้นำหรือ เจ้านายในองค์กรที่ต้องทำให้ถูกต้องและเหมาะสม
มาในวันนี้ผมขอเน้น ที่จะเขียนกล่าวถึงเรื่องของการให้โทษ เพื่อให้สอดคล้องกับชื่อของบทความนี้กับคำถามที่ว่า ผิดไหมที่จะ "ดุ" ลูกน้อง และเป็นที่แน่นอนที่ผมจะบอกว่า "ไม่ผิด" เพราะการดุลูกน้องถือเป็นการให้โทษลูกน้องวิธีหนึ่ง ที่คนที่เป็นเจ้านายคนหนึ่งพึงจะกระทำ แต่ที่ผมต้องเน้นเขียนเรื่องการดุลูกน้องนี้ ก็เพราะว่าในสังคมไทยนั้น การที่ใครสักคนโดนดุถือเป็นเรื่องใหญ่ เพราะสังคมไทยเป็นสังคมที่เกรงใจกัน ประนีประนอมกัน ไว้หน้าไว้ตาซึ่งกันและกัน เพราะฉะนั้นถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรงก็คงจะไม่ออกปากดุกัน ลูกน้องบางคนอาจรับไม่ได้และพานจะไม่เข้าใจว่าทำไมถึงโดนดุ และทำให้รู้สึกไม่ดีกับเจ้านาย เพราะตั้งแต่เกิดมาไม่เคยโดนดุ พ่อแม่เลี้ยงมาด้วยความทะนุถนอม เจอลูกน้องอย่างนี้เจ้านายบางคนก็ลำบากใจเหมือนกัน
อย่างไรก็ดี ผมขอแนะนำว่า ถ้าจำเป็นจะต้องดุลูกน้องก็ขอให้ดุไป แต่โปรดอย่าดุแบบใช้อำนาจ หรือใช้อารมณ์ แต่ขอให้เป็นการดุแบบสร้างบารมี การดุทั้งสองประเภทนี้แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ซึ่งถ้าท่านผู้อ่านยังไม่เห็นภาพถึงความแตกต่างให้ลองจินตนาการดูว่า ถ้าท่านผู้อ่านโดนใครสักคนหนึ่งดุแล้วมีความรู้สึกอยากดุกลับ ถ้าเป็นอย่างนี้ก็จะเป็นการสะท้อนให้เห็นว่าท่านโดนดุโดยคนที่ใช้อำนาจและ อารมณ์เป็นใหญ่ในการบริหารคน แต่ถ้าท่านโดนดุและหลังจากที่โดนดุท่านได้เก็บคำดุมาพิจารณาต่อให้กลายเป็น บทเรียน อันนี้ผมถือว่าผู้ที่ดุท่านนั้นมีวิธีการดุแบบสร้างบารมี
การ ดุแบบสร้างบารมีนั้นมิใช่เรื่องยาก เพราะการเป็นผู้มีบารมีนั้นก็คือการเป็นที่รัก (อย่างจริงใจ) ที่ให้เกียรติ (อย่างจริงใจ) ที่สรรเสริญ (อย่างจริงใจ) ของคนทั่วไป ที่ต้องใส่วงเล็บคำว่า ความจริงใจ ลงไปในที่นี้ ก็เพราะว่าต้องการชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างคำว่า "อำนาจ" กับ "บารมี" เพราะถ้าเกิดผมเอาวงเล็บออกจะแสดงให้เห็นถึงการเป็นผู้มีอำนาจมากกว่าเป็น ผู้มีบารมีทันที อย่างไรก็ดีท่านผู้อ่านคงจะสงสัยว่า แล้วการดุแบบสร้างบารมีนั้นทำอย่างไร โดยเฉพาะในฐานะของการเป็นเจ้านาย การดุแบบสร้างบารมีนั้นทำได้ไม่ยาก การดุแบบสร้างบารมีเป็นการดุอย่างที่ก่อให้เกิดผลการทำงานที่ดี และก่อให้เกิดพัฒนาการในการทำงาน เมื่อการดุนั้นเกิดสัมฤทธิผล เจ้านายก็จะรู้สึกดีที่ลูกน้องทำงานจนก่อให้เกิดผลลัพธ์ตามเป้าหมายที่ได้ วางไว้ ส่วนลูกน้องก็จะเกิดความสุขใจที่ได้พัฒนาศักยภาพในการทำงาน
ใน ฐานะเจ้านาย การดุแบบสร้างบารมีคือการพูดจาอย่างตรงไปตรงมากับลูกน้องด้วยความจริงใจและ ใส่ใจ ซึ่งถือเป็นศิลปะอย่างหนึ่งในการเป็นเจ้านาย เจ้านายควรใช้น้ำเสียงที่แสดงให้เห็นถึงความจริงจังโดยที่ปราศจากอารมณ์โกรธ ในการพูดมากกว่าที่จะใช้น้ำเสียงที่แสดงให้เห็นถึงความสะใจที่มักจะมาพร้อม กับอารมณ์โกรธ เจ้านายควรเริ่มดุด้วยการอธิบายก่อนว่า อะไรเป็นสาเหตุที่จะต้องเรียกลูกน้องมาว่ากล่าวตักเตือน เจ้านายจะต้องอธิบายให้ลูกน้องเห็นว่าสิ่งที่ว่ากล่าวตักเตือนนั้นมีผลอย่าง ไร หรือสำคัญอย่างไรต่อหน้าที่การงาน หรือความสามารถในการทำงานของลูกน้อง เจ้านายจะต้องอธิบายให้ลูกน้องเห็นว่า เมื่อลูกน้องสามารถปรับปรุงพฤติกรรมหรือสิ่งต่างๆ ที่เป็นต้นเหตุของการถูกดุแล้วจะส่งผลดีต่อลูกน้องอย่างไรบ้าง และต้องไม่ลืมที่จะถามความคิดเห็นของลูกน้องว่าคิดอย่างไรกับที่สิ่งที่ได้ ดุไป หรือว่าลูกน้องมีอะไรที่จะอธิบายหรือไม่ และเจ้านายควรตั้งใจฟังลูกน้องและนำสิ่งที่ลูกน้องได้กล่าวอธิบายมาแสดงความ คิดเห็นต่อยอดเพื่อให้เกิดความเข้าใจตรงกันก่อนที่ลูกน้องจะลุกเดินจากไป
การ ดุตามแนวทางดังกล่าวเป็นการช่วยเสริมสร้างบารมีของเจ้านาย เพราะลูกน้องสามารถรู้สึกได้ว่าเจ้านายดุด้วยความเอาใจใส่ ไม่ใช่ดุด้วยความรู้สึกที่สักแต่ว่าดุ ดุด้วยความไม่พอใจ หรือดุเพื่อให้ได้มาซึ่งงานที่สำเร็จลุล่วงตามที่ได้มอบหมายไว้เท่านั้น แต่เป็นการดุที่เสริมสร้างการใฝ่รู้ในการทำงานของลูกน้อง การดุด้วยวิธีดังกล่าวจะทำให้ลูกน้องเกิดความกระตือรือร้นในการทำงานด้วย ความเต็มใจและความสมัครใจ และเป็นผลให้ลูกน้องสามารถปรับทัศนคติในการทำงานที่ไม่ใช่สักแต่ว่าทำให้ เสร็จๆ ไปวันๆ แต่ให้เกิดการเรียนรู้และพัฒนาการในการทำงาน และในที่สุดลูกน้องก็จะรู้สึกดี รู้สึกให้เกียรติและเคารพในคำพูดของเจ้านาย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นการสร้างบารมีในตัวเจ้านายเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา เกิดจากการบังคับบัญชาด้วยการเอาใจลูกน้องมาใส่ใจตน หรือเรียกได้ว่าเป็นการบริหารคนด้วยความเอาใจใส่
เพราะฉะนั้นใน สำนวนไทยที่ว่า รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี นั้นผมถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่ขัดต่อเรื่องขององค์กรแห่งการเรียนรู้และการ จัดการความรู้ ผมคิดว่าท่านผู้อ่านคงเคยโดนคุณพ่อคุณแม่ดุว่ากล่าวตักเตือน หรือแม้กระทั่งโดนตีในสมัยเด็กๆ กันมาบ้าง จนทุกวันนี้คิดว่าทุกท่านคงจะไม่โกรธที่คุณพ่อคุณแม่ดุว่าหรือตีในวัยเด็ก เพราะทุกท่านก็เข้าใจว่าคุณพ่อคุณแม่กระทำไปด้วยความหวังดี ด้วยความรัก ด้วยความเอาใจใส่ การทำโทษเหล่านั้นเป็นการอบรมสั่งสอนเพื่อให้ลูกเรียนรู้ว่าสิ่งใดที่ถูก หรือผิด และให้มีพฤติกรรมที่เหมาะสม และรักดี รักความก้าวหน้า และพัฒนาตนเองจนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ จวบจนทุกคนก็อดที่จะตระหนักมิได้ว่า คุณพ่อคุณแม่คือผู้มีบารมีในใจเราทุกคนเสมอมา
และผมก็ไม่เห็นความ แตกต่างเลยที่ท่านทั้งหลายในฐานะเจ้านายจะนำแนวคิดหรือแนวทางของการปกครอง ลูกมาประยุกต์ใช้กับการปกครองลูกน้อง เพราะพ่อแม่ทุกคนปกครองลูกด้วยความรักและความเอาใจใส่ ในที่สุดเมื่อลูกได้ดีมีความกตัญญูรู้คุณ ก็จะประกอบสิ่งดีงามเพื่อตอบแทนพระคุณพ่อพระคุณแม่ ลูกน้องก็เช่นกัน เมื่อรู้ว่าเจ้านายปกครองด้วยความเอาใจใส่ ด้วยความหวังดีและจริงใจก็จะมีใจที่จะขยันหมั่นเพียรตั้งใจทำงานและให้ความ ร่วมมือในการทำงานอย่างเต็มที่และสมัครใจ ก่อให้เกิดผลการทำงานที่ดี และความสัมพันธ์อันดีระหว่างเจ้านายและลูกน้อง
และเนื่องในวันแม่แห่งชาติปีนี้ จึงอยากให้ทุกท่านร่วมกันรำลึกถึงความรัก และความเอาใจใส่ที่คุณแม่ทุกคนมีให้กับลูกนะครับ
50 บทความดีๆ ที่เอามาเคาะหัวใจคุณ
1.คาด หวังให้สูงเข้าไว้และแน่นอนว่าต้องเตรียมใจที่จะพบกับความผิดหวังด้วย
2.ถ้า อยากจะประสบความสำเร็จต้องกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง
3.ถ้าเชื่อ ว่า ไม่แพ้ เราก็จะไม่แพ้
4.คนเข้มแข็งเท่านั้นที่จะอยู่บนโลกใบนี้ ได้
5.อุปสรรค ล้วนเป็นยาขม ไม่มีใครอยากลิ้มลอง แต่ขึ้นชื่อว่ายาขม ส่วนใหญ่มักเป็นยาดีเสมอ
6.ขอบคุณความทุกข์ที่ทำให้ความสุขในคราว ต่อ มาเป็นความสุขที่แท้จริง
7.เพื่ออะไรกับการรอคอยที่ไม่มีความ หมาย
8.ยิ่ง บทเรียนยากขึ้นเท่าไหร่ ถ้าเราผ่านมันไปได้เราก็จะยิ่งเก่งขึ้นเท่านั้น
9.กุหลาบ ไร้หนามมีเพียงมิตรภาพเท่านั้น
10.อย่ากังวลกับสิ่งที่ยังมาไม่ถึง แต่ให้คำนึงถึงสิ่งที่กำลังทำ
11.แม้แต่นิ้วของคนเรายังยาวไม่เท่า กัน นับประสาอะไรกับความยั่งยืนของชีวิต
12.โลกใบนี้เต็มไปด้วยความ มหัศจรรย์ ถ้าไม่ออกเดินทางก็ไม่มีวันค้นพบ
13.ไม่มีใครสะดุดภูเขา ล้ม มีแต่สะดุดก้อนหินล้ม
14.ไม่มีใครเข้มแข็งตลอดไปและไม่มีใคร อ่อนแอตลอดกาล
15.บางครั้งเราก็เหมือนคนตาบอดมีวิธีเดียวที่จะพาเรา มุ่งหน้าไปได้คือการคลำทางเดินหน้าต่อไป
16.อย่าเกลียดน้ำตาเพราะมัน คือเพื่อนแท้ อย่าเกลียดความอ่อนแอเพียงเพราะมันไม่ใช่ความเข้มแข็ง
17.มี เพียงชีวิตที่ทำเพื่อคนอื่นเท่านั้นที่ควรค่าแก่การมีชีวิต
18.ทุกอย่าง มีค่าเสมอ อย่างน้อยก็ทำให้เรารู้ว่าไม่ควรจะทำมันอีก
19.คนฉลาด ย่อม ไม่นำแต่ตาม ย่อมไม่พูดแต่ฟัง
20.ทุกคนได้ยินในสิ่งที่คุณพูด ต่เพื่อนที่ดีที่สุดจะได้ยินแม้ในสิ่งที่คุณไม่ได้พูด
21.อวดโง่ดี กว่าอวดฉลาด
22.คนที่ว่าคนอื่นโง่ บุคคลนั้นโง่ยิ่งกว่า คนที่ว่าคนอื่นฉลาด บุคคลนั้นคือผู้ฉลาดอย่างแท้จริง
23.ฝันได้แต่ อย่าหวัง
24.เรียนรู้ที่จะแพ้อย่างผู้ชนะ แล้วจะรู้จักกับคำว่าชัยชนะที่แท้จริง
25.นักปราชญ์ควรรู้ว่าเมื่อ ไหร่ควรหยุด
26.ความยึดถือคือความเจ็บปวด
27.พระเจ้าไม่ได้ รักเรามากกว่าคนอื่น และไม่ได้รักคนอื่นมากกว่าเรา
28.อุปสรรคคือแบบ ทดสอบของชีวิต
29.ไม่มีอะไรแน่นอนในชีวิต
30.สิ่งร้ายๆจะมา พร้อมกับสิ่งดีๆเสมอ
31.โลกใบนี้ยังมีมุมดีๆให้มอง
32.ตัวเรา ยังไม่ได้ดั่งใจเรา แล้วคนอื่นจะเป็นได้อย่างไร
33.ถนนบางสายไกล หน่อยแต่ก็ยังมีวันถึง
34.แต่งหน้าด้วยเครื่องสำอาง แต่งใจด้วยความดี
35.ความเจ็บปวดทำให้หัวใจแข็งแกร่ง
36.เดิน คนเดียวอาจไม่รู้สึกดีอะไร แต่อย่างน้อยก็มีที่แกว่งแขนมากขึ้น
37.ทำ วันนี้ให้ดีที่สุด แล้วทำวันพรุ่งนี้ให้ดีกว่าเดิม
38.ความผิดพลาด เกิดขึ้นได้เพราะทุกปัญหาแก้ไขได้
39.ถ้าไม่ลองก้าวจะรู้ได้อย่างไร ว่าตัวเองวิ่งได้
40.ตึกสูงระฟ้ามาจากก้อนอิฐ
41.ใช้ชีวิต อยู่กับความจริง ยอมรับสิ่งที่เป็น มองเห็นข้อดีคนอื่น หยัดยืนด้วยขาตัวเอง
42.เรา จะรู้รสชาติของความสุขก็ต่อเมื่อเราผ่านความทุกข์มาก่อน
43.ปัญหามี ไว้แก้ และต้องแก้ด้วยตัวเองไม่ใช่ยืมมือคนอื่นมาแก้
44.จุดเริ่ม ต้น ของความสัมพันธ์คือความเชื่อใจ
45.ทุกคนมีคุณค่าเพียงแต่มีโอกาส แสดง คุณค่าไม่เท่ากัน
46.บางทีการได้เจอปัญหามันก็ดีเหมือนกัน
47.สิ่ง ที่ผ่านมาแล้วจะกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้อีก
48.ไม่ว่าใครจะตายหรือหาย ไป สุดท้ายโลกก็ยังหมุนต่ออยู่ดี
49.น้ำตาให้ได้แค่ความเห็นใจ
50.ใน การที่จะเริ่มต้นทำสิ่งใดทุกครั้งควรคิดถึงจุดจบด้วย
2.ถ้า อยากจะประสบความสำเร็จต้องกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง
3.ถ้าเชื่อ ว่า ไม่แพ้ เราก็จะไม่แพ้
4.คนเข้มแข็งเท่านั้นที่จะอยู่บนโลกใบนี้ ได้
5.อุปสรรค ล้วนเป็นยาขม ไม่มีใครอยากลิ้มลอง แต่ขึ้นชื่อว่ายาขม ส่วนใหญ่มักเป็นยาดีเสมอ
6.ขอบคุณความทุกข์ที่ทำให้ความสุขในคราว ต่อ มาเป็นความสุขที่แท้จริง
7.เพื่ออะไรกับการรอคอยที่ไม่มีความ หมาย
8.ยิ่ง บทเรียนยากขึ้นเท่าไหร่ ถ้าเราผ่านมันไปได้เราก็จะยิ่งเก่งขึ้นเท่านั้น
9.กุหลาบ ไร้หนามมีเพียงมิตรภาพเท่านั้น
10.อย่ากังวลกับสิ่งที่ยังมาไม่ถึง แต่ให้คำนึงถึงสิ่งที่กำลังทำ
11.แม้แต่นิ้วของคนเรายังยาวไม่เท่า กัน นับประสาอะไรกับความยั่งยืนของชีวิต
12.โลกใบนี้เต็มไปด้วยความ มหัศจรรย์ ถ้าไม่ออกเดินทางก็ไม่มีวันค้นพบ
13.ไม่มีใครสะดุดภูเขา ล้ม มีแต่สะดุดก้อนหินล้ม
14.ไม่มีใครเข้มแข็งตลอดไปและไม่มีใคร อ่อนแอตลอดกาล
15.บางครั้งเราก็เหมือนคนตาบอดมีวิธีเดียวที่จะพาเรา มุ่งหน้าไปได้คือการคลำทางเดินหน้าต่อไป
16.อย่าเกลียดน้ำตาเพราะมัน คือเพื่อนแท้ อย่าเกลียดความอ่อนแอเพียงเพราะมันไม่ใช่ความเข้มแข็ง
17.มี เพียงชีวิตที่ทำเพื่อคนอื่นเท่านั้นที่ควรค่าแก่การมีชีวิต
18.ทุกอย่าง มีค่าเสมอ อย่างน้อยก็ทำให้เรารู้ว่าไม่ควรจะทำมันอีก
19.คนฉลาด ย่อม ไม่นำแต่ตาม ย่อมไม่พูดแต่ฟัง
20.ทุกคนได้ยินในสิ่งที่คุณพูด ต่เพื่อนที่ดีที่สุดจะได้ยินแม้ในสิ่งที่คุณไม่ได้พูด
21.อวดโง่ดี กว่าอวดฉลาด
22.คนที่ว่าคนอื่นโง่ บุคคลนั้นโง่ยิ่งกว่า คนที่ว่าคนอื่นฉลาด บุคคลนั้นคือผู้ฉลาดอย่างแท้จริง
23.ฝันได้แต่ อย่าหวัง
24.เรียนรู้ที่จะแพ้อย่างผู้ชนะ แล้วจะรู้จักกับคำว่าชัยชนะที่แท้จริง
25.นักปราชญ์ควรรู้ว่าเมื่อ ไหร่ควรหยุด
26.ความยึดถือคือความเจ็บปวด
27.พระเจ้าไม่ได้ รักเรามากกว่าคนอื่น และไม่ได้รักคนอื่นมากกว่าเรา
28.อุปสรรคคือแบบ ทดสอบของชีวิต
29.ไม่มีอะไรแน่นอนในชีวิต
30.สิ่งร้ายๆจะมา พร้อมกับสิ่งดีๆเสมอ
31.โลกใบนี้ยังมีมุมดีๆให้มอง
32.ตัวเรา ยังไม่ได้ดั่งใจเรา แล้วคนอื่นจะเป็นได้อย่างไร
33.ถนนบางสายไกล หน่อยแต่ก็ยังมีวันถึง
34.แต่งหน้าด้วยเครื่องสำอาง แต่งใจด้วยความดี
35.ความเจ็บปวดทำให้หัวใจแข็งแกร่ง
36.เดิน คนเดียวอาจไม่รู้สึกดีอะไร แต่อย่างน้อยก็มีที่แกว่งแขนมากขึ้น
37.ทำ วันนี้ให้ดีที่สุด แล้วทำวันพรุ่งนี้ให้ดีกว่าเดิม
38.ความผิดพลาด เกิดขึ้นได้เพราะทุกปัญหาแก้ไขได้
39.ถ้าไม่ลองก้าวจะรู้ได้อย่างไร ว่าตัวเองวิ่งได้
40.ตึกสูงระฟ้ามาจากก้อนอิฐ
41.ใช้ชีวิต อยู่กับความจริง ยอมรับสิ่งที่เป็น มองเห็นข้อดีคนอื่น หยัดยืนด้วยขาตัวเอง
42.เรา จะรู้รสชาติของความสุขก็ต่อเมื่อเราผ่านความทุกข์มาก่อน
43.ปัญหามี ไว้แก้ และต้องแก้ด้วยตัวเองไม่ใช่ยืมมือคนอื่นมาแก้
44.จุดเริ่ม ต้น ของความสัมพันธ์คือความเชื่อใจ
45.ทุกคนมีคุณค่าเพียงแต่มีโอกาส แสดง คุณค่าไม่เท่ากัน
46.บางทีการได้เจอปัญหามันก็ดีเหมือนกัน
47.สิ่ง ที่ผ่านมาแล้วจะกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้อีก
48.ไม่ว่าใครจะตายหรือหาย ไป สุดท้ายโลกก็ยังหมุนต่ออยู่ดี
49.น้ำตาให้ได้แค่ความเห็นใจ
50.ใน การที่จะเริ่มต้นทำสิ่งใดทุกครั้งควรคิดถึงจุดจบด้วย
Sunday, May 30, 2010
Friday, May 14, 2010
ทำไงดี...ขับรถตอนน้ำท่วม

ทำไงดี...ขับรถตอนน้ำท่วม
ข้อแรก ถ้าไม่จำเป็น ควรหลีกเลี่ยงอย่างไม่ต้องสงสัย และไม่ต้องกลัวว่ารถจะดับหรือปล่าว หรือจะมีปัญหาอะไรตามมา เช่น น้ำจะเข้ารถหรือปล่าวแล้วจะเกิดผลเสียต่ออุปกรณ์อื่น ๆ หรือไม่แต่ถ้ามันหลีกเลี่ยงไม่ได้ เราควรทำอย่างไรดีละข้อ 1 คือ ห้ามเปิดแอร์เด็ดขาด ในขณะขับรถลุยน้ำลึก หรือแม้จะน้ำตื้นก็ตามเพราะ สาเหตุที่รถดับ ส่วนใหญ่เกิดจากการเปิดแอร์แล้วขับลุยน้ำที่ผมบอกอย่างนี้ ก็เพราะว่า เมื่อเราเปิดแอร์ พัดลมจะทำงาน และอย่าลืมสิครับว่าเรากำลังลุยน้ำลึก อย่างที่ผมเจอวันนี้ ก็คิดว่า น่าจะเกินระดับพัดลมเพราะฉะนั้น ถ้าเราขืนเปิดพัดลมละก็ สิ่งที่จะตามมาคือใบพัดจะพัดให้น้ำกระจายไปทั่วห้องเครื่อง แล้วคุณลองคิดดูว่า อะไรจะเกิดขึ้นนั่นก็คือ เครื่องจะดับเอาง่าย ๆหรือ ถ้าโชคดี หรือโชคร้าย ถ้าเครื่องไม่ดับ ใบพัดก็จะหมุน ๆ ซึ่งเราก็ไม่รู้หรอกว่า ขณะที่เราลุยน้ำ อะไรมันจะลอยมาบ้าง มันมีสารพัดไม่ว่าจะเป็น ขยะ กิ่งไม้ ไม้หน้าสาม ถุงพลาสติก รองเท้า ซึ่ง สิ่งของพวกนี้มันมีโอกาสที่จะเข้ามาในห้องเครื่องแล้วโดนใบพัดตัดจนใบพัดหักซึ่งถ้าใบพัดหัก แน่นอนว่า เราขับรถต่อไปไม่ได้อย่างแน่นอนเพราะระบบระบายความร้อนจะมีปัญหาข้อ 2 ควรใช้เกียร์ต่ำ สำหรับเกียร์ธรรมดา ก็ใช้ประมาณเกียร์ 2 หรือสำหรับออโต้ก็ใช้เกียร์ L ก็ได้ครับ รวมถึงการขับขี่ที่มีความเร็วต่ำที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และควรใช้ความเร็วสม่ำเสมอ อย่าหยุดอย่าเร่งความเร็วขึ้นข้อ 3 คือ ไม่ควรเร่งเครื่องให้รอบสูง ๆ เพราะเห็นผู้ขับขี่หลาย ๆ คนมักจะเร่งเครื่องแรง ๆ เพราะอะไรรู้ไหมครับ เพราะกลัวเครื่องดับเพราะกลัวน้ำเข้าท่อไอเสีย ซึ่งจริง ๆ แล้วมันเป็นความคิดที่ผิดมาก ๆแท้ที่จริงแล้ว การเร่งเครื่อง ยิ่งทำให้รถมีความร้อนสูงขึ้นเมื่อเครื่องมีความร้อนสูงขึ้น ใบพัดระบายความร้อนก็จะทำงานและสิ่งที่จะตามมาก็เหมือนกับข้อ 1 ครับไม่ต้องกลัวว่าน้ำจะเข้าท่อไอเสียครับ เพราะต่อให้น้ำจะท่วมท่อไอเสียแล้วคุณสตาร์ทรถอยู่ที่รอบเดินเบาแรงดันที่ออกมาเพียงพอที่จะดันน้ำออกมาอย่างสบาย ๆต่อให้คุณจอดรถทิ้งไว้จนน้ำท่วมท่อไอเสียก็ตาม เมื่อคุณเข้าไปในรถ แล้วสตาร์ทรถผมกล้าพูดได้เลย ทีเดียวติดครับ (กรณีนี้ ที่ผมกล้าพูดว่า รถสามารถสตาร์ทติดคือ น้ำท่วม แค่ท่วมท่อไอเสียนะครับ ไม่ใช่ท่วมฝากระโปรงนะครับ) แต่สำหรับรถคาบู ผมเองก็ไม่แน่ใจนะครับ ว่าถ้าถึงขั้น น้ำท่วมท่อไอเสียแล้วมันจะสตาร์ทติดหรือไม่ แต่สำหรับเครื่องหัวฉีดสบายใจได้ครับ4. ควรลดความเร็วลง เมื่อ กำลังจะขับรถสวนกับอีกคันที่กำลังขับมาเพราะไม่งั้นจะกลายเป็นคลื่นชนคลื่น อย่างที่ผมบอกซึ่งน้ำที่ปะทะระหว่างรถของเราและรถที่วิ่งสวนมามันก็อาจทำให้น้ำกระเด็นไปทำอันตรายต่ออุปกรณ์ภายในได้หลังจากเราลุยน้ำลึกมา สิ่งที่ควรทำต่อ ก็คือข้อแรก พยายาม ย้ำเบรกเพื่อไล่น้ำ เพราะในช่วงแรก ๆ หลังจากการลุยน้ำลึกมามันจะเบรกไม่อยู่ และเป็นอันตรายมากถ้าเราไม่ทำการย้ำเบรกเพื่อไล่น้ำออกจากระบบเบรกสำหรับ เกียร์ธรรมดา ต้องมีการย้ำคลัชเช่นเดียวกับการย้ำเบรกเพราะหลังการลุยน้ำมา อาจมีปัญหาคลัชลื่น จึงต้องทำทั้งย้ำคลัชและย้ำเบรกอีกข้อนึงคือ ไม่ควรดับเครื่องทันที ถึงแม้ถึงจุดหมายก็ตามเพราะอาจมีน้ำค้างอยู่ในหม้อพักของท่อไอเสีย ซึ่งควรสตาร์ทรถทิ้งไว้สักพักซึ่งจะสังเกตได้ว่า มีไอออกจากท่อไอเสีย ก็ไม่ต้องตกใจครับก็สตาร์ทรถทิ้งไว้สักพัก เพื่อให้น้ำในหม้อพักมันระเหยออกไป เพราะถ้าไม่ทำอย่างนี้ จะทำให้เกิดน้ำค้างอยู่ในหม้อพัก สิ่งที่จะตามมาคือ มันจะผุและหลังจากวันที่เราลุยน้ำมาแล้ว เราควรจะทำอย่างไร !!!1. ล้างรถ รวมถึง การฉีดน้ำเข้าไปในบริเวณใต้ท้องรถด้วยรวมทั้งบริเวณซุ้มล้อ เพื่อล้างพวกเศษทรายต่าง ๆ ที่มันเกาะติดอยู่ หรือบริเวณใต้ท้องรถ ซึ่งอาจมีพวกเศษขยะ เศษหญ้า ติดอยู่ ต้องเอาออกให้หมดเพราะถ้าเศษหญ้าแห้งมันติดอยู่ใต้รถ อันตรายที่จะเกิดขึ้น มันใหญ่หลวงนักหนัก ๆ หน่อย ไฟอาจไหม้ได้ในคู่มือยังบอกเลยครับว่า รถที่ติดตั้งตัวกรองไอเสีย หรือ (CAT)ไม่ควรจอดรถไว้บริเวณที่มีต้นหญ้าขึ้นสูง เพราะอุณหภูมิของเจ้าCatalytic Converter นั้น มันค่อนข้างสูงมาก ๆ2. สำรวจน้ำมันเกียร์ ว่า มันมีสีผิดปกติหรือไม่ คือถ้ามีลักษณะคล้ายสี ชาเย็น นั่นแสดงว่าต้องมีน้ำเข้าไปอยู่ในระบบเกียร์อย่างแน่นอน หรือถ้าเป็นไปได้ก็เปลี่ยนน้ำมันเกียร์มันซะเลย เพื่อความสบายใจเพราะก้านวัดน้ำมันเกียร์นั้นอยู่ค่อนข้างต่ำ และยิ่งรถผ่านการลุยน้ำลึก ๆ มามันก็จะท่วมตัวเจ้าก้านวัด ซึ่งเป็นไปได้ที่น้ำจะซึมเข้าไปในระบบเกียร์และมันก็จะทำให้ระบบเกียร์พัง3. เช็คลูกปืนล้อ ซึ่ง พูดง่าย ๆ ว่า เจอน้ำทีไรลูกปืนล้อมันก็จะดัง เวลาวิ่งความเร็วสูง ๆ อันนี้ทำใจไว้ได้เลย ว่าอาจต้องเปลี่ยน แต่ โดยปกติแล้ว เจ้าลูกปืนล้อมันจะพังเร็ว ก็เพราะสาเหตุที่ว่าจอดแช่น้ำมากกว่า แต่ถ้าวิ่งผ่านน้ำ โดยปกติ จะไม่ค่อยมีปัญหาอะไรแต่ถ้าแช่น้ำเมื่อไหร่ละก็ เตรียมตัวเสียเงินได้เลย4. ตรวจสอบ พื้นพรมในรถ ว่า เปียกชื้นหรือไม่ เพราะหลังการลุยน้ำลึกมา มีโอกาสมากที่น้ำจะซึมเข้ามาภายในห้องโดยสารเพราะฉะนั้น ต้องเปิดผ้ายาง เปิดพรม เอามือ กดแรง ๆ ดูหรือลองเอากระดาษซับดูว่ามีน้ำอยู่หรือปล่าวถ้ามีน้ำขังอยู่ภายในห้องโดยสาร ผมคิดว่า น่าจะถึงเวลารื้อพรมกันเลยละครับเพื่อป้องกันปัญหาตามมา เพราะถ้าคุณไม่รื้อพรม แต่คุณอาจแค่เพียง เอาผ้าซับ ๆให้พื้นแห้ง แล้วจอดตากแดด จริง ๆแล้ว มันก็แห้งเหมือนกัน แต่สิ่งที่คุณไม่เห็นก็คือ สิ่งสกปรกที่มันยังค้างอยู่ในรถของคุณซึ่งคุณก็น่าจะรู้ว่า น้ำมันมีเชื้อโรคสารพัด แล้วเมื่อมันแห้งมันก็จะแพร่เชื้อและเป็นเชื้อราอยู่ในพรม สิ่งที่อยากบอกต่อคือ นอกจากนี้ในรถยังมีระบบปรับอากาศที่มันจะเป็นตัวช่วยพัฒนาการเจริญเติบโตของเชื้อโรคต่าง ๆได้เป็นอย่างดี แล้วมันก็จะหมุนเวียน กลับไปกลับมา อยู่ในรถของคุณนั่นก็เป็นสาเหตุของการเกิดภูมิแพ้ เพราะคุณก็สูดเอาเชื้อโรคต่าง ๆ เข้าไปตลอดเวลาจะว่าไปแล้ว รถสมัยนี้ค่อนข้างออกแบบมาดี ลุยน้ำไม่ค่อยดับกันหรอกครับ
ข้อแรก ถ้าไม่จำเป็น ควรหลีกเลี่ยงอย่างไม่ต้องสงสัย และไม่ต้องกลัวว่ารถจะดับหรือปล่าว หรือจะมีปัญหาอะไรตามมา เช่น น้ำจะเข้ารถหรือปล่าวแล้วจะเกิดผลเสียต่ออุปกรณ์อื่น ๆ หรือไม่แต่ถ้ามันหลีกเลี่ยงไม่ได้ เราควรทำอย่างไรดีละข้อ 1 คือ ห้ามเปิดแอร์เด็ดขาด ในขณะขับรถลุยน้ำลึก หรือแม้จะน้ำตื้นก็ตามเพราะ สาเหตุที่รถดับ ส่วนใหญ่เกิดจากการเปิดแอร์แล้วขับลุยน้ำที่ผมบอกอย่างนี้ ก็เพราะว่า เมื่อเราเปิดแอร์ พัดลมจะทำงาน และอย่าลืมสิครับว่าเรากำลังลุยน้ำลึก อย่างที่ผมเจอวันนี้ ก็คิดว่า น่าจะเกินระดับพัดลมเพราะฉะนั้น ถ้าเราขืนเปิดพัดลมละก็ สิ่งที่จะตามมาคือใบพัดจะพัดให้น้ำกระจายไปทั่วห้องเครื่อง แล้วคุณลองคิดดูว่า อะไรจะเกิดขึ้นนั่นก็คือ เครื่องจะดับเอาง่าย ๆหรือ ถ้าโชคดี หรือโชคร้าย ถ้าเครื่องไม่ดับ ใบพัดก็จะหมุน ๆ ซึ่งเราก็ไม่รู้หรอกว่า ขณะที่เราลุยน้ำ อะไรมันจะลอยมาบ้าง มันมีสารพัดไม่ว่าจะเป็น ขยะ กิ่งไม้ ไม้หน้าสาม ถุงพลาสติก รองเท้า ซึ่ง สิ่งของพวกนี้มันมีโอกาสที่จะเข้ามาในห้องเครื่องแล้วโดนใบพัดตัดจนใบพัดหักซึ่งถ้าใบพัดหัก แน่นอนว่า เราขับรถต่อไปไม่ได้อย่างแน่นอนเพราะระบบระบายความร้อนจะมีปัญหาข้อ 2 ควรใช้เกียร์ต่ำ สำหรับเกียร์ธรรมดา ก็ใช้ประมาณเกียร์ 2 หรือสำหรับออโต้ก็ใช้เกียร์ L ก็ได้ครับ รวมถึงการขับขี่ที่มีความเร็วต่ำที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และควรใช้ความเร็วสม่ำเสมอ อย่าหยุดอย่าเร่งความเร็วขึ้นข้อ 3 คือ ไม่ควรเร่งเครื่องให้รอบสูง ๆ เพราะเห็นผู้ขับขี่หลาย ๆ คนมักจะเร่งเครื่องแรง ๆ เพราะอะไรรู้ไหมครับ เพราะกลัวเครื่องดับเพราะกลัวน้ำเข้าท่อไอเสีย ซึ่งจริง ๆ แล้วมันเป็นความคิดที่ผิดมาก ๆแท้ที่จริงแล้ว การเร่งเครื่อง ยิ่งทำให้รถมีความร้อนสูงขึ้นเมื่อเครื่องมีความร้อนสูงขึ้น ใบพัดระบายความร้อนก็จะทำงานและสิ่งที่จะตามมาก็เหมือนกับข้อ 1 ครับไม่ต้องกลัวว่าน้ำจะเข้าท่อไอเสียครับ เพราะต่อให้น้ำจะท่วมท่อไอเสียแล้วคุณสตาร์ทรถอยู่ที่รอบเดินเบาแรงดันที่ออกมาเพียงพอที่จะดันน้ำออกมาอย่างสบาย ๆต่อให้คุณจอดรถทิ้งไว้จนน้ำท่วมท่อไอเสียก็ตาม เมื่อคุณเข้าไปในรถ แล้วสตาร์ทรถผมกล้าพูดได้เลย ทีเดียวติดครับ (กรณีนี้ ที่ผมกล้าพูดว่า รถสามารถสตาร์ทติดคือ น้ำท่วม แค่ท่วมท่อไอเสียนะครับ ไม่ใช่ท่วมฝากระโปรงนะครับ) แต่สำหรับรถคาบู ผมเองก็ไม่แน่ใจนะครับ ว่าถ้าถึงขั้น น้ำท่วมท่อไอเสียแล้วมันจะสตาร์ทติดหรือไม่ แต่สำหรับเครื่องหัวฉีดสบายใจได้ครับ4. ควรลดความเร็วลง เมื่อ กำลังจะขับรถสวนกับอีกคันที่กำลังขับมาเพราะไม่งั้นจะกลายเป็นคลื่นชนคลื่น อย่างที่ผมบอกซึ่งน้ำที่ปะทะระหว่างรถของเราและรถที่วิ่งสวนมามันก็อาจทำให้น้ำกระเด็นไปทำอันตรายต่ออุปกรณ์ภายในได้หลังจากเราลุยน้ำลึกมา สิ่งที่ควรทำต่อ ก็คือข้อแรก พยายาม ย้ำเบรกเพื่อไล่น้ำ เพราะในช่วงแรก ๆ หลังจากการลุยน้ำลึกมามันจะเบรกไม่อยู่ และเป็นอันตรายมากถ้าเราไม่ทำการย้ำเบรกเพื่อไล่น้ำออกจากระบบเบรกสำหรับ เกียร์ธรรมดา ต้องมีการย้ำคลัชเช่นเดียวกับการย้ำเบรกเพราะหลังการลุยน้ำมา อาจมีปัญหาคลัชลื่น จึงต้องทำทั้งย้ำคลัชและย้ำเบรกอีกข้อนึงคือ ไม่ควรดับเครื่องทันที ถึงแม้ถึงจุดหมายก็ตามเพราะอาจมีน้ำค้างอยู่ในหม้อพักของท่อไอเสีย ซึ่งควรสตาร์ทรถทิ้งไว้สักพักซึ่งจะสังเกตได้ว่า มีไอออกจากท่อไอเสีย ก็ไม่ต้องตกใจครับก็สตาร์ทรถทิ้งไว้สักพัก เพื่อให้น้ำในหม้อพักมันระเหยออกไป เพราะถ้าไม่ทำอย่างนี้ จะทำให้เกิดน้ำค้างอยู่ในหม้อพัก สิ่งที่จะตามมาคือ มันจะผุและหลังจากวันที่เราลุยน้ำมาแล้ว เราควรจะทำอย่างไร !!!1. ล้างรถ รวมถึง การฉีดน้ำเข้าไปในบริเวณใต้ท้องรถด้วยรวมทั้งบริเวณซุ้มล้อ เพื่อล้างพวกเศษทรายต่าง ๆ ที่มันเกาะติดอยู่ หรือบริเวณใต้ท้องรถ ซึ่งอาจมีพวกเศษขยะ เศษหญ้า ติดอยู่ ต้องเอาออกให้หมดเพราะถ้าเศษหญ้าแห้งมันติดอยู่ใต้รถ อันตรายที่จะเกิดขึ้น มันใหญ่หลวงนักหนัก ๆ หน่อย ไฟอาจไหม้ได้ในคู่มือยังบอกเลยครับว่า รถที่ติดตั้งตัวกรองไอเสีย หรือ (CAT)ไม่ควรจอดรถไว้บริเวณที่มีต้นหญ้าขึ้นสูง เพราะอุณหภูมิของเจ้าCatalytic Converter นั้น มันค่อนข้างสูงมาก ๆ2. สำรวจน้ำมันเกียร์ ว่า มันมีสีผิดปกติหรือไม่ คือถ้ามีลักษณะคล้ายสี ชาเย็น นั่นแสดงว่าต้องมีน้ำเข้าไปอยู่ในระบบเกียร์อย่างแน่นอน หรือถ้าเป็นไปได้ก็เปลี่ยนน้ำมันเกียร์มันซะเลย เพื่อความสบายใจเพราะก้านวัดน้ำมันเกียร์นั้นอยู่ค่อนข้างต่ำ และยิ่งรถผ่านการลุยน้ำลึก ๆ มามันก็จะท่วมตัวเจ้าก้านวัด ซึ่งเป็นไปได้ที่น้ำจะซึมเข้าไปในระบบเกียร์และมันก็จะทำให้ระบบเกียร์พัง3. เช็คลูกปืนล้อ ซึ่ง พูดง่าย ๆ ว่า เจอน้ำทีไรลูกปืนล้อมันก็จะดัง เวลาวิ่งความเร็วสูง ๆ อันนี้ทำใจไว้ได้เลย ว่าอาจต้องเปลี่ยน แต่ โดยปกติแล้ว เจ้าลูกปืนล้อมันจะพังเร็ว ก็เพราะสาเหตุที่ว่าจอดแช่น้ำมากกว่า แต่ถ้าวิ่งผ่านน้ำ โดยปกติ จะไม่ค่อยมีปัญหาอะไรแต่ถ้าแช่น้ำเมื่อไหร่ละก็ เตรียมตัวเสียเงินได้เลย4. ตรวจสอบ พื้นพรมในรถ ว่า เปียกชื้นหรือไม่ เพราะหลังการลุยน้ำลึกมา มีโอกาสมากที่น้ำจะซึมเข้ามาภายในห้องโดยสารเพราะฉะนั้น ต้องเปิดผ้ายาง เปิดพรม เอามือ กดแรง ๆ ดูหรือลองเอากระดาษซับดูว่ามีน้ำอยู่หรือปล่าวถ้ามีน้ำขังอยู่ภายในห้องโดยสาร ผมคิดว่า น่าจะถึงเวลารื้อพรมกันเลยละครับเพื่อป้องกันปัญหาตามมา เพราะถ้าคุณไม่รื้อพรม แต่คุณอาจแค่เพียง เอาผ้าซับ ๆให้พื้นแห้ง แล้วจอดตากแดด จริง ๆแล้ว มันก็แห้งเหมือนกัน แต่สิ่งที่คุณไม่เห็นก็คือ สิ่งสกปรกที่มันยังค้างอยู่ในรถของคุณซึ่งคุณก็น่าจะรู้ว่า น้ำมันมีเชื้อโรคสารพัด แล้วเมื่อมันแห้งมันก็จะแพร่เชื้อและเป็นเชื้อราอยู่ในพรม สิ่งที่อยากบอกต่อคือ นอกจากนี้ในรถยังมีระบบปรับอากาศที่มันจะเป็นตัวช่วยพัฒนาการเจริญเติบโตของเชื้อโรคต่าง ๆได้เป็นอย่างดี แล้วมันก็จะหมุนเวียน กลับไปกลับมา อยู่ในรถของคุณนั่นก็เป็นสาเหตุของการเกิดภูมิแพ้ เพราะคุณก็สูดเอาเชื้อโรคต่าง ๆ เข้าไปตลอดเวลาจะว่าไปแล้ว รถสมัยนี้ค่อนข้างออกแบบมาดี ลุยน้ำไม่ค่อยดับกันหรอกครับ
Friday, October 30, 2009
คำย่อในภาษาอังกฤษ
เรื่องน่ารู้กับคำย่อที่มักจะใช้ในภาษาอังกฤษ
ASAP = As soon as possible = เร็วสุดเท่าที่เร็วได้
ATM = At the moment = ในตอนนี้
BC = Because = เพราะว่า
BG = Big grin = (ยิ้มอยู่)
BOTOH = But on the other hand = แต่ในทางกลับกัน
BTDT = Been there, done that = ไปมาแล้วทําเรียบร้อยแล้ว
BTW = By the way = อย่างไรก็ตาม
COZ = Because = เพราะว่า
CU = See you = แล้วเจอกัน
CUL or CUL8R = See you later = แล้วเจอกัน
EZ = Easy = ง่าย
FAQ = Frequently asked questions = คําถามที่ถามบ่อย
FYI = For your information = แจ้งเพื่อรับทราบ
GJ = Good job = ทําได้ดีมาก!
GL = Good luck = โชคดีนะ
GRT = Great = เยี่ยม!
GW = Good work = ทําได้ดีมาก
HAND = Have a nice day = โชคดีนะ
IC = I see = เข้าใจล่ะ
IMO = In my opinion ฉันคิดว่า...
IMPOV = In my point of view = ฉันคิดว่า....
IOW = In other words = ถ้าจะพูดอีกอย่างก็..
IRL = In real life = ในชีวิตจริง
JIC = Just in case = เผื่อไว้
JTLYK = Just to let you know = แค่บอกให้รู้ไว้
KIS = Keep it simple = เอาง่ายๆ
KIT = Keep in touch = ติดต่อกันอีกนะ
LOL= Laughing out loud = หัวเราะ555+
NBD = No big deal = ไม่มีปัญหา เรื่องเล็กน้อย
NP = No problem = ไม่มีปัญหา
NVM = Never mind = ไม่เป็นไร
OMG = Oh my god = พระเจ้า จอร์จจจ
PLS = Please = ได้โปรด
PLZ = Please = ได้โปรด
Q = Question = คําถาม
SIT = Stay in touch = แล้วติดต่อกันใหม่
SOZ, SRY = Sorry = ขอโทษที
SYS = See you soon = แล้วพบกันใหม่
THX = Thanks = ขอบใจจ้า
TIA = Thanks in advance = ขอบคุณล่วงหน้า
TY = Thank you = ขอบคุณ
U = You = คุณ
WB = Welcome back = ขอต้อนรับกลับมา
WFM = Works for me = สําหรับฉันแล้วได้ผลนะ
XOXO = Hugs and kisses = รักนะจุ๊บๆ
Y = Why = ทําไมหละ
YW = You are welcome ด้วยความยินดี
ASAP = As soon as possible = เร็วสุดเท่าที่เร็วได้
ATM = At the moment = ในตอนนี้
BC = Because = เพราะว่า
BG = Big grin = (ยิ้มอยู่)
BOTOH = But on the other hand = แต่ในทางกลับกัน
BTDT = Been there, done that = ไปมาแล้วทําเรียบร้อยแล้ว
BTW = By the way = อย่างไรก็ตาม
COZ = Because = เพราะว่า
CU = See you = แล้วเจอกัน
CUL or CUL8R = See you later = แล้วเจอกัน
EZ = Easy = ง่าย
FAQ = Frequently asked questions = คําถามที่ถามบ่อย
FYI = For your information = แจ้งเพื่อรับทราบ
GJ = Good job = ทําได้ดีมาก!
GL = Good luck = โชคดีนะ
GRT = Great = เยี่ยม!
GW = Good work = ทําได้ดีมาก
HAND = Have a nice day = โชคดีนะ
IC = I see = เข้าใจล่ะ
IMO = In my opinion ฉันคิดว่า...
IMPOV = In my point of view = ฉันคิดว่า....
IOW = In other words = ถ้าจะพูดอีกอย่างก็..
IRL = In real life = ในชีวิตจริง
JIC = Just in case = เผื่อไว้
JTLYK = Just to let you know = แค่บอกให้รู้ไว้
KIS = Keep it simple = เอาง่ายๆ
KIT = Keep in touch = ติดต่อกันอีกนะ
LOL= Laughing out loud = หัวเราะ555+
NBD = No big deal = ไม่มีปัญหา เรื่องเล็กน้อย
NP = No problem = ไม่มีปัญหา
NVM = Never mind = ไม่เป็นไร
OMG = Oh my god = พระเจ้า จอร์จจจ
PLS = Please = ได้โปรด
PLZ = Please = ได้โปรด
Q = Question = คําถาม
SIT = Stay in touch = แล้วติดต่อกันใหม่
SOZ, SRY = Sorry = ขอโทษที
SYS = See you soon = แล้วพบกันใหม่
THX = Thanks = ขอบใจจ้า
TIA = Thanks in advance = ขอบคุณล่วงหน้า
TY = Thank you = ขอบคุณ
U = You = คุณ
WB = Welcome back = ขอต้อนรับกลับมา
WFM = Works for me = สําหรับฉันแล้วได้ผลนะ
XOXO = Hugs and kisses = รักนะจุ๊บๆ
Y = Why = ทําไมหละ
YW = You are welcome ด้วยความยินดี
Monday, September 28, 2009
คุณเป็นอัจฉริยะ....หรือไม่
ลองดูคำนี้หน่อยซิ
BANANA
DRESSER
GRAMMAR
POTATO
REVIVE
UNEVEN
ASSESS
คุณคิดอะไรออกบ้างไหม ลองพยายามดู
--
ลองสังเกตดูว่า แต่ละคำนั้นมีอักษรตัวเดียวกันเป็นคู่ ๆ
----
ลองคิดต่อ
---
ถ้ายังคิดไม่ออก..เฉลยละกัน
--
ข้อความนี้ใช้เป็นแบบทดสอบอัจฉริยะ ได้หรือไม่
คำตอบก็คือ ได้และไม่ได้ แต่มันน่าจะเหมาะกับกลุ่มเด็ก Autistic ที่มีระบบสมองโน้มเอียงความสามารถอันลึกลับ ซับซ้อนให้มีความสามารถเฉพาะทางขึ้นมา เช่น ความสามารถในการอ่านและถอดรหัสตัวเลข ตัวอักษรได้
ดังนี้...พวกเราไม่ต้องฟูมฟาย ว่าทำไมนึกไม่ออก และคิดไม่ถึง
BANANA
DRESSER
GRAMMAR
POTATO
REVIVE
UNEVEN
ASSESS
คุณคิดอะไรออกบ้างไหม ลองพยายามดู
--
ลองสังเกตดูว่า แต่ละคำนั้นมีอักษรตัวเดียวกันเป็นคู่ ๆ
----
ลองคิดต่อ
---
ถ้ายังคิดไม่ออก..เฉลยละกัน
--
ข้อความนี้ใช้เป็นแบบทดสอบอัจฉริยะ ได้หรือไม่
คำตอบก็คือ ได้และไม่ได้ แต่มันน่าจะเหมาะกับกลุ่มเด็ก Autistic ที่มีระบบสมองโน้มเอียงความสามารถอันลึกลับ ซับซ้อนให้มีความสามารถเฉพาะทางขึ้นมา เช่น ความสามารถในการอ่านและถอดรหัสตัวเลข ตัวอักษรได้
ดังนี้...พวกเราไม่ต้องฟูมฟาย ว่าทำไมนึกไม่ออก และคิดไม่ถึง
Wednesday, April 22, 2009
Subscribe to:
Posts (Atom)